เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๖๔ คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปมีมติสำคัญเกี่ยวกับการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์และการอำนวยความสะดวกสำหรับผู้บริโภคอันเนื่องมาจากปัญหาอุปกรณ์ชาร์จไฟ (charger) สำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งได้มีการดำเนินการกับภาคอุตสาหกรรมเพื่อลดจำนวนอุปกรณ์ชาร์จ แต่ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ ปัจจุบันคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปอยู่ในระหว่างเสนอกฎหมายในระดับ EU Directive เพื่อกำหนดแนวทางที่เป็นมาตรฐานของอุปกรณ์ชาร์จไฟสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งกำหนดให้ช่องเสียบอุปกรณ์ชาร์จไฟและการใช้เทคโนโลยีชาร์จเร็วจะต้องมีความสอดคล้องกัน โดยช่องชาร์จ (port) ประเภท USB-C ถูกกำหนดให้เป็นช่องชาร์จมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟน แท็บเลต กล้องถ่ายรูป หูฟัง ลำโพงแบบพกพา และอุปกรณ์สำหรับเล่นเกม
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปได้เสนอให้ยกเลิกการขายอุปกรณ์ชาร์จไฟรวมกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภคและลดการสร้างมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากการผลิตและการจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับการชาร์จ
ด้านนาย Margrethe Vestager รองประธานโครงการ Europe fit for the Digital Age กล่าวว่า ผู้บริโภคต้องเผชิญกับปัญหาดังกล่าวมาอย่างยาวนานที่ต้องมีอุปกรณ์ชาร์จไฟจำนวนมาและไม่สามารถใช้ด้วยกันได้ ซึ่งทางการได้กำหนดระยะเวลาสำหรับบริษัทเอกชนในการดำเนินการแก้ไขปัญหาแล้ว แต่ไม่สามารถขจัดปัญหาดังกล่าวได้จึงจำเป็นที่จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายมาตรฐานของอุปกรณ์ชาร์จไฟ
ด้านคณะกรรมาธิการผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับตลาดอินเทอร์เน็ตกล่าวว่า เมื่อมีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์มากยิ่งขึ้นจะมีการขายอุปกรณ์ชาร์จมากขึ้นตามไปด้วย สหภาพยุโรปจำเป็นที่จะต้องแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผู้บริโภคจะสามารถใช้อุปกรณ์ชาร์จเพียงเครื่องเดียวสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาทั้งหมด ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกและลดขยะลงได้
สาระสำคัญของข้อเสนอการออกกฎหมาย
๑. กำหนดมาตรฐานของช่องชาร์จไฟของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยให้ใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟประเภท USB-C เป็นมาตรฐานหลัก ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถใช้อุปกรณ์ชาร์จไฟประเภท USB-C ที่เหมือนกันได้ โดยไม่คำนึงถึงยี่ห้อของอุปกรณ์
๒. การบังคับใช้กฎหมายครอบคลุมถึงเทคโนโลยีชาร์จเร็ว ซึ่งจะช่วยป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภคจากการจำกัดความเร็วของการชาร์จไฟอุปกรณ์อย่างไม่เป็นธรรม โดยผู้บริโภคจะได้รับความเร็วในการชาร์จไฟเท่ากัน
๓. ยกเลิกการรวมขายอุปกรณ์ชาร์จกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โดยผู้บริโภคสามารถซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ต้องซื้ออุปกรณ์ชาร์จไฟใหม่ ซึ่งจะช่วยจำกัดจำนวนของอุปกรณ์ชาร์จไฟที่ไม่ได้ใช้งานและลดการผลิตอุปกรณ์ดังกล่าวลงได้ ทำให้ยุโรปสามารถลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์ลงได้ประมาณหนึ่งพันตันต่อปี
๔. กำหนดให้มีการพัฒนาข้อมูลสำหรับผู้บริโภค โดยผู้ผลิตจะต้องจัดให้มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับประสิทธิภาพการชาร์จและข้อมูลเกี่ยวกับพลังงานของอุปกรณ์ หากอุปกรณ์ดังกล่าวรองรับการชาร์จเร็ว วิธีการดังกล่าวจะช่วยให้ผู้บริโภคทราบเข้าถึงข้อมูลอุปกรณ์ชาร์จไฟที่มีอยู่ได้อย่างสะดวกและเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกอุปกรณ์ชาร์จที่ใช้งานร่วมกันได้ ทั้งยังช่วยลดการซื้ออุปกรณ์ชาร์จใหม่ ซึ่งประหยัดการค่าใช้จ่ายได้ราว ๒๕๐ ล้านยูโรต่อปี
การแก้ไขกฎหมายดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของคณะกรรมาธิการเพื่อแก้ไขปัญหาความยั่งยืนของผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในตลาดของสหภาพยุโรป
สำหรับการขั้นตอนต่อไป กฎหมายดังกล่าวจะต้องได้รับการรับรองจากรัฐสภาของสหภาพยุโรปและคณะมนตรีสหภาพยุโรป โดยภาคอุตสาหกรรมมีระยะเวลาในการดำเนินการเปลี่ยนแปลง ๒๔ เดือนนับจากวันที่ได้รับการรับรอง ซึ่งท้ายที่สุดการจะมีอุปกรณ์ชาร์จไฟที่เป็นมาตรฐานจำเป็นต้องมีการทำงานร่วมกันของฝ่ายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และแหล่งจ่ายไฟฟ้า โดยกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องจะได้รับการพิจารณาเพื่อปรับปรุงต่อไปและจะเผยแพร่ภายในปลายปี ๒๐๒๑ เพื่อให้มีผลบังคับใช้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่
ที่มาของกฎหมาย
ในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ มีการจำหน่ายโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาราว ๔๒๐ ล้านเครื่องในสหภาพยุโรป โดยเฉลี่ยผู้บริโภคมีอุปกรณ์ชาร์จไฟจำนวน ๓ เครื่อง ซึ่งจะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เป็นประจำ ๒ เครื่อง อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกว่าร้อยละ ๓๘ ประสบปัญหาอุปกรณ์ชาร์จไฟและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ไม่สามารถใช้งานร่วมกันได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะส่งผลให้ผู้บริโภคไม่ได้รับความสะดวก แต่ยังส่งผลถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับอุปกรณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวโดยรวมกว่า ๒.๔ พันล้านยูโรต่อปี นอกจากนี้ ขยะประเภทอุปกรณ์ชาร์จไฟยังทำให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มสูงขึ้นถึง ๑๑,๐๐๐ ต่อปีอีกด้วย
ดังนั้น เพื่อจัดการกับปัญหาของผู้บริโภคและปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม คณะกรรมาธิการจึงได้สนับสนุนแนวทางการแก้ไขมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๐๙ โดยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันกับภาคอุตสาหกรรม ไปสู่การลดจำนวนประเภทอุปกรณ์การชาร์จที่มีอยู่สำหรับโทรศัพท์มือถือในตลาดจาก ๓๐ ประเภทเหลือเพียง๓ ประเภท อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บันทึกความเข้าใจสิ้นสุดลงในปี ค.ศ. ๒๐๑๔ ข้อเสนอใหม่ของภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแนวทางการจัดการปัญหาที่ได้นำเสนอในเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๑๘ ยังไม่เป็นที่น่าพอใจสำหรับการแก้ไขปัญหาและตอบสนองต่อความสะดวกสบายของผู้บริโภค รวมถึงเป้าหมายการลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรปจึงจำเป็นที่จะต้องมีการเสนอกฎหมาย
ข่าวประจำวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๖๔
เรียบเรียงจาก https://ec.europa.eu/commission/presscorner/detail/en/ip_21_4613