BANNER


ประชาคมสังคมและวัฒนธรรรมอาเซียน




ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID – 19 ของเยาวชนอาเซียน

World Economic Forum ได้เผยแพร่ผลการสำรวจเยาวชนอาเซียนเกี่ยวกับผลกระทบในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายเป็นเยาวชนช่วงอายุ ๑๖ - ๓๕ ปี จำนวน ๖๘,๔๗๔ คน จาก ๖ ประเทศสมาชิกอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ เวียดนามและไทย ซึ่งการสำรวจดังกล่าวมีผู้ตอบแบบสอบถามทั้งเยาวชนที่เป็นนักเรียนนักศึกษา ผู้ประกอบการ และแรงงาน ซึ่งผลการสำรวจได้สะท้อนภาพความเปลี่ยนแปลงของสังคมและมุมมองของเยาวชนในช่วงการแพร่ระบาดที่น่าสนใจหลายประการทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วและถาวร โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและช่องว่างของทักษะทางดิจิทัลของเยาวชน ข้อจำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และความสามารถในการปรับตัวและแนวคิดแบบ growth mindset ของเยาวชนอาเซียน ดังมีรายละเอียดที่ผู้เขียนขอนำเสนอบทความนี้
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ >>>  ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID – 19 ของเยาวชนอาเซียน


สิงคโปร์กับเส้นทางต่อสู้โควิด – ๑๙: มาตรการผ่อนการควบคุมและการเปิดประเทศ

สิงคโปร์เป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด – ๑๙ สูงที่สุด โดยข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๒๐ พบว่า ประเทศสิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อ ๓๙,๓๘๗ ราย และมีผู้เสียชีวิต ๒๕ ราย ในขณะที่สถานการณ์การระบาดของสมาชิกอาเซียนบางประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ราย ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ค.ศ. ๒๐๑๐ ประเทศเวียดนามมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษา ๑๑ ราย และสามารถรักษาหายแล้ว ๓๒๑ ราย แม้สิงคโปร์จะอยู่ในภาวะของการระบาดระยะที่สองตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในวันที่ ๒๐ เมษายน ค.ศ. ๒๐๒๐ จำนวน ๑,๔๒๖ ราย  อย่างไรก็ดี สิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับการกล่าวถึงวิธีการจัดการการระบาดภายในประเทศได้อย่างเป็นที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของการเป็นตัวอย่างการชะลอการระบาดในช่วงแรกและเป็นกรณีศึกษาให้กับประเทศอื่นในการเพิ่มความระมัดระวังเมื่อเข้าสู่ช่วงผ่อนมาตรการเพื่อมิให้เกิดการแพร่ระบาดในระยะที่สอง  ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการใช้มาตรการที่หลากหลายของภาครัฐในการจัดการกับการระบาดในสิงคโปร์ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอแนวทางการจัดการกับวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด – ๑๙ ในประเทศสิงคโปร์ โดยแบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑) มาตรการเกี่ยวกับการจำกัดการเคลื่อนไหวของบุคคลช่วงการระบาดของโควิด - ๑๙ ภายใต้กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ (Infectious Diseases Act) และกฎหมายว่าด้วยโควิด - ๑๙ ค.ศ. ๒๐๒๐ (มาตรการชั่วคราว) (COVID-19 (Temporary Measures) Act 2020) และส่วนที่ ๒) มาตรการผ่อนการควบคุมและการเปิดประเทศ


สิงคโปร์กับเส้นทางต่อสู้โควิด – ๑๙: มาตรการจำกัดการเคลื่อนไหวและข้อบังคับควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด - ๑๙

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สิงคโปร์เป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสูงที่สุด โดยข้อมูล ณ วันที่ ๑๒ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๒๐ พบว่า ประเทศสิงคโปร์มีผู้ติดเชื้อ ๓๙,๓๘๗ ราย และมีผู้เสียชีวิต ๒๕ ราย ในขณะที่สถานการณ์การระบาดของสมาชิกอาเซียนบางประเทศเริ่มมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยประเทศไทยมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ราย ตั้งแต่วันที่ ๙ เมษายน ค.ศ. ๒๐๒๐ ประเทศเวียดนามมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษา ๑๑ ราย และสามารถรักษาหายแล้ว ๓๒๑ ราย แม้สิงคโปร์จะอยู่ในภาวะของการระบาดระยะที่สองตั้งแต่เดือนเมษายน เนื่องจากมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งในวันที่ ๒๐ เมษายน ค.ศ. ๒๐๒๐ จำนวน ๑,๔๒๖ ราย  อย่างไรก็ดี สิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับการกล่าวถึงวิธีการจัดการการระบาดภายในประเทศได้อย่างเป็นที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ของการเป็นตัวอย่างการชะลอการระบาดในช่วงแรก และเป็นกรณีศึกษาให้กับประเทศอื่นในการเพิ่มความระมัดระวังเมื่อเข้าสู่ช่วงผ่อนมาตรการเพื่อมิให้เกิดการแพร่ระบาดในระยะที่สอง  ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการใช้มาตรการที่หลากหลายของภาครัฐในการจัดการกับการระบาดภายในสิงคโปร์ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอแนวทางการจัดการกับวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด – ๑๙ ในประเทศสิงคโปร์ โดยแบ่งเป็น ๒ ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ ๑) มาตรการเกี่ยวกับการจำกัดการเคลื่อนไหวของบุคคลช่วงการระบาดของโควิด - ๑๙ ภายใต้กฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ (Infectious Diseases Act) และกฎหมายว่าด้วยโควิด - ๑๙ ค.ศ. ๒๐๒๐ (มาตรการชั่วคราว) (COVID-19 (Temporary Measures) Act 2020) และส่วนที่ ๒) มาตรการผ่อนการควบคุมและการเปิดประเทศ


อาเซียนกับการขจัดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ: อุปสรรคจากโควิด – ๑๙

ในปี ค.ศ. ๒๐๒๐ ประชาคมโลกประสบกับภาวะการระบาดใหญ่ของโรคโควิด – ๑๙ (COVID – 19) ทำให้มีผู้ติดเชื้อ ๓,๘๖๒,๖๗๖ ราย และเสียชีวิต ๒๖๕, ๙๖๑ รายทั่วโลก โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ติดเชื้อ ๕๔,๒๖๒ ราย และเสียชีวิต ๑,๘๐๔ ราย ภาวะดังกล่าวไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของทุกคนเท่านั้น หากแต่ยังส่งผลโดยตรงต่อภาพรวมของเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิกอาเซียน บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด – ๑๙ ในภูมิภาคในฐานะของอุปสรรคสำคัญสำหรับอาเซียนในแง่ของการขจัดความยากจนและสร้างความเท่าเทียมให้เกิดขึ้นภายในภูมิภาคตามเป้าหมายของประชาคม


แนวปฏิบัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากการปฏิบัติงานที่บ้านของประเทศฟิลิปปินส์

การแพร่ระบาดของ COVID - ๑๙ ส่งผลให้ประชาชนต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อรักษาระยะห่างทางกายภาพ (Physical Distancing)  การดำเนินการต่าง ๆ ของฟิลิปปินส์อยู่ภายใต้มาตรการ lock-down ซึ่งหนึ่งในแนวปฏิบัติที่สำคัญคือการลดการเดินทางของประชาชนเพื่อลดความเสี่ยงในการแพร่กระจายของเชื้อ ในด้านของกิจกรรมการปฏิบัติงาน องค์กรภาครัฐและเอกชนจึงใช้รูปแบบการดำเนินงานโดยการจัดให้บุคคลากรปฏิบัติงานจากที่บ้าน (Work From Home) เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการรักษาความปลอดภัยด้านสาธารณสุขของบุคคลากรที่ต้องเดินทางมาปฏิบัติงานและเพื่อให้การปฏิบัติงานขององค์กรสามารถดำเนินต่อไปได้ในภาวะวิกฤตอย่างไม่ติดขัด  อย่างไรก็ดี การใช้มาตรการ Work From Home ในสภาวะการแพร่ระบาดของ COVID - ๑๙ นี้ สิ่งสำคัญที่องค์กรจำเป็นต้องคำนึงถึงคือเรื่องของการคุ้มครองข้อมูลขององค์กร วิธีการจัดการเอกสารและการเข้าถึงเอกสารที่มีข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากอุปกรณ์ที่ใช้ในการปฏิบัติงานที่บ้านอาจไม่ได้รับการป้องกันที่เหมาะสมเพียงพอ เช่นนี้แล้ว เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ คณะกรรมการข้อมูลส่วนบุคคลของฟิลิปปินส์ (National Privacy Commission – NPC)  ได้ออกประกาศชื่อ NPC PHE Bulletin No.12: Protecting Personal Data in a Work From Home Arrangement เพื่อให้คำแนะนำแก่องค์กรที่มีการจัดให้บุคคลากรปฏิบัติงานที่บ้าน และการปฏิบัติงานรูปแบบอื่นที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ โดยแนวปฏิบัติดังกล่าวครอบคลุมถึงการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล มาตรการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลโดยทั่วไป และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลสำหรับบุคคลากรที่ปฏิบัติงานที่บ้าน
อ่านบทความฉับเต็มได้ที่นี่ >>> แนวปฏิบัติการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากการปฏิบัติงานที่บ้านของประเทศฟิลิปปินส์


พระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติงานจากที่บ้านของประเทศฟิลิปปินส์

การปฏิบัติงานจากบ้านอาจเป็น New Normal สำหรับองค์กรหรือผู้ปฏิบัติงานในหลาย ๆ ประเทศ แต่สำหรับคนฟิลิปปินส์เป็นวิธีการปฏิบัติงานที่ถูกรับรองสถานะตามกฎหมาย เมื่อปี พ.ศ ๒๕๖๑ ซึ่งฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมาย Republic Act 11165 หรือ Telecommuting Act 2018 ในที่นี้ขอเรียกว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติงานจากที่บ้าน โดยมีสาระสำคัญเป็นการรับรองและคุ้มครองสิทธิและสวัสดิการของบุคลากรภาคเอกชนที่สามารถปฏิบัติงานด้วยการสื่อสารโทรคมนาคม และ/หรือเทคโนโลยีทางคอมพิวเตอร์ ณ สถานที่อื่นซึ่งไม่ใช่สถานประกอบการ ซึ่งเป็นการเพิ่มทางเลือกในการปฏิบัติงานให้แก่บุคลากรของภาคเอกชน 
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่  >>> พระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติงานจากที่บ้านของประเทศฟิลิปปินส์

Download ภาพ ได้ที่นี่ >>> พระราชบัญญัติว่าด้วยการปฏิบัติงานจากที่บ้านของประเทศฟิลิปปินส์


ถอดบทเรียนการรับมือโควิด – ๑๙ ของประเทศสมาชิกอาเซียน

แม้การระบาดของไวรัสโควิด – ๑๙ ยังมิได้สิ้นสุดหรือสงบลงจนทำให้ประชาคมโลกกลับสู่ภาวะปกติ แต่สถานการณ์การระบาดในหลายประเทศและหลายพื้นที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จึงเริ่มมีการคลายมาตรการควบคุมในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. ๒๐๒๐ โดยในบางประเทศมีจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวันลดลงและมีจำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วมากขึ้น รวมทั้งมีอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยอยู่ในระดับต่ำ เช่น ประเทศมาเลเซียและไทยจากที่มีการพบผู้ติดเชื้อใหม่สูงสุด ๒๓๕ รายและ ๑๘๘ ราย ต่อวัน ตามลำดับ ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมได้มีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่วันที่ ๕ ถึงวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ประเทศมาเลเซียมีการพบผู้ติดเชื้อใหม่ต่ำกว่า ๑๐๐ ราย และประเทศไทยต่ำกว่า ๑๐ ราย ในส่วนของประเทศเวียดนามมีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสม ๓๒๔ รายและไม่มีรายงานจำนวนผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด – ๑๙ โดยเป็นประเทศสมาชิกอาเซียนที่ไม่มีภาวะการระบาดใหญ่ (pandemic) ในขณะเดียวกัน แม้ประเทศสิงคโปร์จะเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมมากกว่า ๑๐,๐๐๐ ราย แต่มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ ๒ และเป็นประเทศที่มีการจัดการกับการระบาดในระยะแรกได้อย่างเป็นที่น่าสนใจ แต่ได้เผชิญกับภาวะการระบาดในระยะที่สองอย่างรุนแรงในเดือนพฤษภาคม  ทั้งนี้ สถานการณ์การระบาดที่เกิดขึ้นในหลายประเทศย่อมสะท้อนถึงวิธีการจัดการปัญหาหรือการตอบสนองต่อปัญหาของประเทศ บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอถึงปัจจัยและเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหาของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเป็นการถอดบทเรียนประสบการณ์ในการรับมือกับวิกฤตการระบาดใหญ่ในครั้งนี้


อาเซียนกับวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด – ๑๙: กลไกความร่วมมือ ปัญหาและอุปสรรค ในการจัดการ

สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นับตั้งแต่มีการรายงานข้อมูลผู้ติดเชื้อรายแรกอย่างเป็นทางการในภูมิภาคเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ค.ศ. ๒๐๒๐ ซึ่งพบที่ประเทศไทย จนถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๒๐ พบผู้ติดเชื้อในภูมิภาค ๙,๔๒๔ ราย และเสียชีวิต ๒๘๒ รายวิกฤตดังกล่าวเป็นความท้าทายครั้งสำคัญต่อบทบาทของอาเซียนในการตอบสนองและจัดการแก้ไขภายใต้กลไกของสถาบัน ในขณะเดียวกัน อาเซียนก็ได้เผชิญกับความท้าทายจากประเทศสมาชิก บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอกลไกของอาเซียนในการตอบสนองต่อปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด – ๑๙ ในภูมิภาค รวมถึงปัญหาและอุปสรรคของอาเซียน


มาตรการควบคุมการใช้ Electric Scooters ของสิงคโปร์

คนสิงคโปร์โดยมากนิยมเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ หรือโดยพาหนะเคลื่อนที่ส่วนบุคคล (Personal mobility device: PMDs) ที่กำลังเป็นพาหนะทางเลือกและเป็นที่นิยมสำหรับคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Electric scooters (e-scooters) เนื่องจากมีความคล่องตัว สะดวก รวดเร็ว  ความนิยมดังกล่าวทำให้ผู้ใช้มีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ทั้งผู้ที่ซื้อไว้ใช้เอง และผู้ที่ใช้บริการผ่านผู้ให้เช่า ผลที่ตามมาทำให้เกิดอุบัติเหตุจากการใช้ e-scooters ในสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น ตัวอย่างรายล่าสุดในเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒ พบผู้ขับขี่ e-scooter ด้วยความเร็วชนเข้ากับผู้หญิงสูงอายุ วัย ๖๕ ปีขณะกำลังขี่จักรยาน ส่งผลให้ผู้หญิงดังกล่าวเสียชีวิตในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ยังพบปัญหาเพลิงไหม้โดยมีสาเหตุมาจากการชาร์จ e-scooter ทิ้งไว้ในบ้านอีกด้วย ข้อกังวลเหล่านี้ทำให้สิงคโปร์เพิ่มมาตรการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ e-scooter หรือพาหนะเคลื่อนที่ส่วนบุคคล (Personal mobility device) ประเภทต่าง ๆ อย่างเข้มงวด ดังมีรายละเอียดที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงในบทความนี้ อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ มาตรการควบคุมการใช้ Electric Scooters ของสิงคโปร์


ความผิดเกี่ยวกับ Doxing ของสิงคโปร์

หลายประเทศรวมถึงประเทศไทยมีมาตรการบังคับใช้กฎหมาย Personal Data Protection โดยมีสาระสำคัญเป็นการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลจากบริษัทหรือองค์กรธุรกิจที่มีการรวบรวม เก็บและนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้โดยมิชอบ  ขณะเดียวกัน นอกจากข้อมูลส่วนบุคคลจะถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ที่น่าสนใจคือกรณีของสิงคโปร์ที่เห็นปัญหาการนำข้อมูลระบุตัวตนของบุคคลอื่นไปเผยแพร่บนพื้นที่ออนไลน์ โดยมีเจตนาให้เจ้าของข้อมูลถูกคุกคาม ได้รับความเสียหาย หรือที่เรียกว่า “Doxing” สิงคโปร์ได้แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายให้การกระทำดังกล่าวเป็นความผิดภายใต้กฎหมาย Protection from Harassment Act (POHA) บทความนี้ จึงขอนำเสนอมุมมองการคุ้มครองข้อมูลของบุคคลภายใต้กฎหมายฉบับดังกล่าวของสิงคโปร์
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ >> ความผิดเกี่ยวกับ Doxing ของสิงคโปร์


อาเซียนกับการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ

สำหรับอาเซียนซึ่งเป็นภูมิภาคที่ประกอบด้วยประชากรกว่า ๖๐๐ ล้านคน โดยมีประชากรที่เป็นเพศหญิงกว่าครึ่งหนึ่งได้มีการกำหนดให้เรื่องการส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิสตรีเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของการพัฒนาสังคมและวัฒนธรรมของภูมิภาค ดังจะเห็นได้จากการกำหนดให้เรื่องความเสมอภาคทางเพศและการสร้างความเข้มแข็งให้กับผู้หญิงเป็นเป้าหมายสำคัญภายใต้แผนงานประชาคมสังคมวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint 2025) ตลอดจนได้มีการก่อตั้งกลไกความร่วมมือเพื่อดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอถึงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนในการส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศเพื่อสะท้อนถึงความพยายามของอาเซียนในการสร้างความเท่าเทียมระหว่างเพศให้เกิดขึ้นในภูมิภาค


สิงคโปร์กับการจัดเก็บภาษีคาร์บอน

สิงคโปร์มีความพยายามที่จะแก้ไขปัญหามลพิษทางอากาศด้วยการใช้มาตรการเพื่อการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งเพื่อดำเนินตามข้อตกลงปารีส (Paris Agreement) ซึ่งสิงคโปร์ผูกพันที่จะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ ๓๖ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๓๐ โดยหนึ่งในมาตรการสำคัญคือการจัดเก็บภาษีคาร์บอน จึงได้มีการยกร่างกฎหมายภาษีคาร์บอน (Carbon Pricing Bill) ขึ้นและผ่านการพิจารณาของรัฐสภาเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ค.ศ. ๒๐๑๘ และมีผลใช้บังคับเป็นรัฐบัญญัติภาษีคาร์บอน ค.ศ. ๒๐๑๘ (Carbon Pricing Act 2018) เมื่อวันที่ ๑ มกราคม ค.ศ. ๒๐๑๙ ซึ่งเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่มีการใช้มาตรการดังกล่าวในการควบคุมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอถึงสาระสำคัญของกฎหมายดังกล่าวเพื่อเป็นกรณีศึกษาสำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นต่อไป


กฎหมายการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนของสิงคโปร์ (RESOURCE SUSTAINABILITY ACT 2019)

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีและนวัตกรรม มีโครงสร้างพื้นฐานที่สนับสนุนการเจริญเติบโตด้านการค้าการลงทุนเพื่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดี  ลักษณะภูมิประเทศเป็นเกาะขนาดเล็กเทียบได้กับเกาะภูเก็ตของประเทศไทย ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ สิงคโปร์มีจำนวนประชากรกว่า ๖ ล้านคน ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศด้วยภาคอุตสาหกรรม เทคโนโลยีและนวัตกรรม ทำให้สิงคโปร์เห็นปัญหามลภาวะทางเสียง น้ำ ดินและอากาศที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีเครื่องจักร ซึ่งทำให้เกิดของเสียและสิ่งปฏิกูลจากสถานประกอบการจำนวนมาก สิงคโปร์จึงพยายามจัดการกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเร่งด่วนมาโดยตลอดเพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจและสังคมของประเทศดำเนินต่อไปได้ ด้วยข้อจำกัดทางพื้นที่ ปริมาณทรัพยากรภายในประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัดและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นแต่ละปี การดำเนินนโยบายและการใช้กฎหมายเพื่อกำกับดูแล ส่งเสริมรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลสิงค์โปรจึงมีลักษณะของการวางแผนระยะยาวโดยให้ความสำคัญกับการจัดการพื้นที่และการจัดการพลังงานทดแทนเพื่อลดการพึ่งพาทรัพยากรจากต่างประเทศ บทความนี้จึงขอกล่าวถึงประเด็นที่น่าสนใจของกฎหมาย Resource Sustainability Act 2019 ที่มีสาระสำคัญเป็นการวางระบบเกี่ยวกับการลดการใช้ นำกลับมาใช้ซ้ำและการนำกลับมาใช้ใหม่ (Reduce Reuse and Recycle: 3R)
เป็นครั้งแรกของสิงคโปร์ 
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ >> กฎหมายการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืนของสิงคโปร์ (RESOURCE SUSTAINABILITY ACT 2019)


กลไกของอาเซียนในการจัดการปัญหาขยะพลาสติกทะเลในภูมิภาค

ประเทศอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทยเป็นประเทศที่มีการปล่อยขยะพลาสติกลงสู่ทะเลและมหาสมุทรมากที่สุด โดยอินโดนีเซียมีปริมาณขยะพลาสติกในทะเล ๐.๔๘ – ๑.๒๙ เมตริกตันต่อปี ฟิลิปปินส์ ๐.๒๘ – ๐.๗๕ เมตริกตันต่อปี เวียดนาม ๐.๒๘ – ๐. ๗๓ เมตริกตันต่อปี ในขณะเดียวกันประเทศไทยและมาเลเซียก็มีปริมาณขยะพลาสติกในทะเลถึง ๐.๑๕ – ๐.๔๑ เมตริกตันต่อปีและ ๐.๑๔ – ๐.๓๗ เมตริกตันต่อปี ตามลำดับ โดยกลุ่มประเทศดังกล่าวมีการจัดการขยะพลาสติกที่ไม่ถูกต้องและขาดระบบการจัดการขยะพลาสติกอย่างยั่งยืนจึงทำให้เป็นประเทศที่มีขยะพลาสติกจำนวนมาก นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก ๘๓๖,๕๒๙ ตัน เป็น ๒,๒๖๕,๙๖๒ ตัน ภายใน ๓ ปี โดยประเทศมาเลเซีย เวียดนาม ไทย อินโดนีเซียและเมียนมาเป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการนำเข้าขยะพลาสติกมากที่สุดในภูมิภาค ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๑ ประเทศดังกล่าวมีปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ขยะพลาสติกในทะเลของภูมิภาคเป็นที่น่าวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะความร่วมมือในระดับภูมิภาค เนื่องจากเป็นขยะพลาสติกทะเลในอาเซียนเป็นปัญหาข้ามพรมแดนจึงส่งผลต่อประเทศสมาชิกอาเซียนหลายประเทศ บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอกลไกการจัดการแก้ไขปัญหาขยะทะเลของอาเซียนเพื่อสะท้อนถึงศักยภาพและประสิทธิภาพของสถาบันหลักของภูมิภาค และเพื่อการพัฒนากลไกเพื่อจัดการปัญหาดังกล่าวให้มีประสิทธิภาพต่อไป

แก้ไขปรับปรุงเมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓


สถานการณ์ขยะพลาสติกทะเลในอาเซียน

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มี ๖ ประเทศที่ติด ๒๐ อันดับแรกของประเทศที่มีขยะพลาสติกในทะเลมากที่สุด ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ไทย มาเลเซีย และเมียนมา โดยขยะพลาสติกในทะเลราวร้อยละ ๘๐ ถูกปล่อยมาจากภาคพื้นดิน ส่วนอีกร้อยละ ๒๐ เป็นขยะที่รั่วไหลจากการทำประมง  นอกจากนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังมีปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจาก ๘๓๖,๕๒๙ ตัน เป็น ๒,๒๖๕,๙๖๒ ตัน ภายใน ๓ ปี ซึ่งประเทศมาเลเซีย เวียดนาม ไทย อินโดนีเซียและเมียนมาร์เป็นกลุ่มประเทศที่มีแนวโน้มการนำเข้าขยะพลาสติกมากที่สุดในภูมิภาค ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๑ ประเทศดังกล่าวมีปริมาณการนำเข้าขยะพลาสติกที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ขยะพลาสติกในทะเลของภูมิภาคเป็นที่น่าวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการจัดการแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบโดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในระดับชาติและความร่วมมือระหว่างประเทศ บทความฉบับนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการนำเสนอภาพรวมปัญหาขยะพลาสติกในทะเลของประเทศสมาชิกอาเซียนน ๔ ประเทศได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม และไทย เพื่อสะท้อนถึงลักษณะปัญหาที่เกิดขึ้นในภูมิภาค


การต่อต้านกฎหมายอาญาฉบับใหม่ของอินโดนีเซีย

เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๖๒ ประเทศอินโดนีเซียเกิดเหตุชุมนุมประท้วงโดยประชาชนจำนวนกว่าหลายหมื่นคน โดยมากเป็นกลุ่มนักศึกษา ซึ่งถือเป็นการประท้วงครั้งใหญ่นับแต่การชุมนุมล้มรัฐบาลซูฮาร์โตเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๑ การชุมนุมดังกล่าวเกิดขึ้นบริเวณอาคาiรัฐสภาอินโดนีเซีย (House of Representatives) ในพื้นที่กรุงจาการ์ตา และเมืองอื่น ๆ โดยมีวัตถประสงค์เพื่อต่อต้านและเรียกร้องให้ยกเลิกการออกกฎหมายหลายฉบับ อาทิ กฎหมายการต่อต้านการทุจริตที่มองว่ามีบทบัญญัติที่จะทำให้อำนาจของคณะกรรมาธิการต่อต้านการทุจริตอ่อนแอ การชุมนุมเพื่อเรียกร้องให้ยุติการใช้กองทัพควบคุมจังหวัดปาปัวและภูมิภาคอื่น ๆ และที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงในบทความนี้คือการเรียกร้องให้ยกเลิกการแก้ไขบทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาโดยเฉพาะกรณีความสัมพันธ์กับผู้ที่ไม่ใช่คู่สมรสตามกฎหมาย บทบัญญัติเกี่ยวกับการทำแท้ง หรือการกำหนดให้การดูหมิ่นประธานาธิบดีเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ซึ่งกลุ่มผู้ประท้วงมีความเห็นว่าหากบทบัญญัติเหล่านี้ถูกบังคับใช้อาจกระทบต่อสิทธิมนุษยชนของชาวอินโดนีเซียและอาจเป็นการย้อนคืนความก้าวหน้าของอินโดนีเซียในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่ การต่อต้านกฎหมายอาญาฉบับใหม่ของอินโดนีเซีย


ทักษะทางดิจิทัลกับการทำงานของเยาวชนอาเซียน

บริบทของสังคมโลกที่กำลังเผชิญกับยุคความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัล การเชื่อมโยงอย่าง
ไร้พรมแดน การเติบโตของตลาดดิจิทัล อุตสาหกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ความสามารถของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์
(AI) ตลอดจนความท้าทายในการเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ ๔ หรือ (The Fourth Industrial Revolution) ทำให้หลายประเทศรวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนตระหนักถึงการพัฒนาความรู้และทักษะที่จำเป็นใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มคุณภาพแก่ประชากรในประเทศของตน โดยทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information and Communication Technologies: ICTs) จะเป็นทักษะที่จำเป็นชุดใหม่ในศตวรรษที่ ๒๑ ที่จะมีผลรอบด้านต่อรูปแบบความสัมพันธ์ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคมและวัฒนธรรม ตลอดจนภูมิทัศน์ในการเรียนรู้ที่เปลี่ยนไป
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ >> ทักษะทางดิจิทัลกับการทำงานของเยาวชนอาเซียน


กฎหมายความปลอดภัยพื้นที่สาธารณะของฟิลิปปินส์ (Safe Spaces Act)

ปัจจุบันแนวโน้มการคุ้มครองสิทธิต่าง ๆ ของพลเมืองโดยรัฐมีเพิ่มมากขึ้นเพื่อรองรับกระแสการป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประเด็นเรื่องความปลอดภัยสาธารณะเป็นประเด็นทางปกครองที่สำคัญประการหนึ่งที่ทุกประเทศจำเป็นต้องตระหนักและจัดให้มีมาตรการควบคุมดูแลอย่างเหมาะสม ดังที่ล่าสุดหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียนอย่างฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายใหม่ชื่อว่า Safe Spaces Act หรือกฎหมายความปลอดภัยพื้นที่สาธารณะ ซึ่งมีข้อสังเกตที่น่าสนใจหลายประการ โดยเฉพาะการกำหนดลักษณะของพฤติกรรมที่เป็นความผิดตามกฎหมายในรูปแบบใหม่ ๆ อาทิ การผิวปาก การกล่าววาจาล่วงละเมิดทางเพศในพื้นที่สาธารณะ ทั้งที่กระทำต่อผู้หญิงและคุ้มครองถึงผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งจะหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจมากล่าวถึงในบทความนี้ 
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ กฎหมายความปลอดภัยพื้นที่สาธารณะของฟิลิปปินส์ (Safe Spaces Act)


กฎหมายคุ้มครองต้นไม้ในเมือง; กรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์

บทความนี้จะได้กล่าวถึงรายละเอียดว่าด้วยหลักการดูแลรักษาต้นไม้ในเมืองของสิงคโปร์ ซึ่งสะท้อนออกมาผ่านการวางแผนเชิงนโยบายและบทบัญญัติของกฎหมาย รวมไปถึงกรณีปัญหาของประเทศไทยว่าด้วยเรื่องการอนุรักษ์พื้นที่ป่าในเมือง พร้อมทั้งทำการเสนอแนวทางแก้ไขโดยการเทียบเคียงจากกรณีศึกษาของประเทศสิงคโปร์
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ กฎหมายคุ้มครองต้นไม้ในเมือง กรณีศึกษาประเทศสิงคโปร์

 


กฎหมายประกันสุขภาพของฟิลิปปินส์

องค์การอนามัยโลกเปิดเผยรายงานภัยคุกคามสาธารณสุขโลกประจำปี
พ.ศ.
๒๕๖๒ (Ten threats to global health in 2019) เปิดเผยความกังวลการบริการสาธารณสุขระดับปฐมภูมิที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งบริการดังกล่าวถือเป็นจุดแรกในการเชื่อมต่อประชาชนให้เข้าถึงระบบสาธารณสุขต่าง ๆ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องครอบคลุม และเข้าถึงง่ายทั้งในแง่ของสถานที่ และค่าใช้จ่าย ฟิลิปปินส์ขณะนี้ มีการปรับตัวยกระดับการให้บริการด้านสุขภาพแก่ประชาชน โดยออกกฎหมายประกันสุขภาพ ชื่อ Universal Heath Care Act มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๒ หลังจากที่สภาสูงฟิลิปปินส์ได้มีมติเป็นเอกฉันท์รับรองร่างกฎหมายไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๑
 


การปลูกสำนึกรักษ์สิ่งแวดล้อมแก่เยาวชนฟิลิปปินส์ด้วยกฎหมายปลูกต้นไม้ก่อนสำเร็จการศึกษา

ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีพื้นที่ประกอบด้วยเกาะจำนวนมาก และเป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังเผชิญกับปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าอย่างรุนแรง เพื่อสร้างโครงการสาธารณูปโภค ระบบนิเวศถูกคุกคาม หลายพื้นที่ถูกรุกล้ำพื้นที่ป่าเพื่อทำการเกษตรในช่วง ๑๐ ปีที่ผ่านมา   เหตุนี้ ฟิลิปปินส์จึงตระหนักถึงความสำคัญของการปลูกฝังการรักษาป่าและสิ่งแวดล้อม ทำให้เมื่อไม่นานมานี้ ฟิลิปปินส์ได้ออกกฎหมายสิ่งแวดล้อมฉบับหนึ่ง เรียกว่า “the Graduation Legacy for the Environment Act” กำหนดวางรากฐานให้นักเรียนต้องปลูกต้นไม้ก่อนที่จะสำเร็จการศึกษา หากดำเนินการอย่างแข็งขันภายใต้มาตรการนี้ จำนวนเด็กในหนึ่ง generation จะสามารถปลูกต้นไม้ได้ไม่ต่ำกว่า ๕๒๕ พันล้านต้น การออกกฎหมายฉบับนี้นอกจากจะสร้างกรอบความคิดรักษาระบบนิเวศแก่เยาวชนอย่างยั่งยืนแล้ว ยังจะช่วยสร้างความมั่นคงทางธรรมชาติให้กับคนฟิลิปปินส์รุ่นต่อไป รวมถึงเป็นมาตรการที่มีส่วนช่วยป้องกันการเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติในอีกหลากหลายรูปแบบ 
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่  กฎหมายปลูกต้นไม้ก่อนสำเร็จการศึกษาของฟิลิปปินส์


สิงคโปร์กับกฎหมายแรงงานฉบับแก้ไข (EMPLOYMENT ACT)

สิงคโปร์เป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีความโดดเด่นด้านเศรษฐกิจ เป็นที่สนใจแก่กลุ่มนักธุรกิจ นักลงทุนในหลากหลายกลุ่มธุรกิจ  ด้วยลักษณะทางภูมิประเทศของสิงคโปร์ที่มีลักษณะเป็นเกาะขนาดเล็กมีพื้นที่ราว  ๗๑๐.๒ ตารางกิโลเมตร มีปริมาณประชากรจำนวนไม่มาก ราว ๕.๖๑ ล้านคน ทำให้สิงคโปร์มีความจำเป็นต้องพึ่งพาแรงงานจากต่างชาติในการขับเคลื่อนกิจกรรมการค้าในหลายระดับ ต่างชาติจึงเข้าไปมีบทบาทในภาคแรงงานของสิงคโปร์เป็นจำนวนมาก ด้วยพลวัตการเปลี่ยนแปลงของกลุ่มธุรกิจ กลุ่มแรงงานที่มีหลายประเภท หลายทักษะ รวมถึงแนวทางการจ้างงานในท้องถิ่นยังคงมีวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ทำให้สิงคโปร์มีความพยายามที่จะปรับปรุงกฎหมายแรงงานให้ครอบคลุม สอดรับกับบริบทการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่มีการประกาศใช้กฎหมายแรงงานฉบับปรับปรุงแก้ไขล่าสุดไปเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๙ 
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ สิงคโปร์กับกฎหมายแรงงานฉบับแก้ไข (EMPLOYMENT ACT)


การคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของไทย และประเทศสมาชิกอาเซียน

สำหรับประเทศไทยหากไม่ใช่ผู้อยู่ในวงการทรัพย์สินทางปัญญา ผู้ผลิต หรือกลุ่มผู้บริโภคที่สนใจสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์  GI อาจยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายทั่วไปนัก มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๔๖ ของไทยได้กำหนดนิยาม “สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์” หมายถึง ชื่อ สัญลักษณ์ หรือสิ่งอื่นใดที่ใช้เรียก หรือใช้แทนแหล่งภูมิศาสตร์ และที่สามารถบ่งบอกว่าสินค้าที่เกิดจากแหล่งภูมิศาสตร์นั้นเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ชื่อเสียง หรือคุณลักษณะเฉพาะของแหล่งภูมิศาสตร์ดังกล่าว  อาจกล่าวได้ว่าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ คือมาตรการคุ้มครองทางกฎหมายสำหรับสิ่งที่มีความเชื่อมโยงระหว่างลักษณะธรรมชาติทางภูมิศาสตร์ และมนุษย์ ทำให้สินค้าที่ได้รับการรับรองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์มีเอกลักษณ์เฉพาะไม่สามารถหาได้จากพื้นที่อื่น อาทิ สินค้า GI ที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ได้แก่ กาแฟดอยตุง ข้าวสังข์หยดเมืองพัทลุง ไข่เค็มไชยา น้ำตาลโตนดเมืองเพชร ผ้าไหมมัดหมี่ชนบท ร่มบ่อสร้าง ชามไก่ลำปาง และอื่น ๆ อีกมาก

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ การคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของไทย และประเทศสมาชิกอาเซียน


มาตรการควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารปลอมของสิงคโปร์

สื่อออนไลน์มีบทบาทต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนในสังคมทุกขณะ การขยายตัวของเทคโนโลยี นวัตกรรมส่งผลให้พฤติกรรมการบริโภคสื่อออนไลน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัญหาที่อาจเป็นผลกระทบสำคัญตามมาคือการเผยแพร่ข่าวสารปลอมหรือข้อความที่ไม่เป็นความจริง (Fake News) เพื่อสร้างความเข้าใจผิด มุ่งแสวงประโยชน์บางประการจนอาจเรียกได้ว่าเป็นภัยคุกคามรูปแบบหนึ่งที่สามารถส่งผลทั้งในระยะสั้น และระยะยาว อีกทั้งการพัฒนาของเทคโนโลยี AI ทำให้เกิดการสร้างข่าวสารหลอกลวงโดยอาศัยเทคโนโลยีการเรียนรู้เชิงลึกเข้ามาร่วมพัฒนา ทำให้ข่าวสารปลอมมีลักษณะ แนบเนียน จับพิรุธได้ยาก ง่ายต่อการหลงเชื่อ (Deepfake) เช่น การตัดต่อวิดีโอปลอม เหตุนี้ หลายประเทศจึงตระหนักถึงผลกระทบของการแพร่กระจายข่าวสารปลอม เร่งสร้างกลไกการควบคุม ป้องกัน ทั้งรูปแบบของมาตรการทางกฎหมาย และมาตรการทางบริหาร สิงคโปร์เป็นประเทศล่าสุดที่ผลักดันการแก้ปัญหาในรูปแบบมาตรการทางกฎหมาย โดยมีการเสนอร่างกฎหมายชื่อ The Protection from Online Falsehoods and Manipulation Bill เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ.๒๕๖๒ หรือกฎหมายควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารปลอม การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวทำให้สิงคโปร์เผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน และสื่อมวลชน (Freedom of Expression) รวมถึงเป็นข้อสงสัยว่าอาจบังคับใช้เพื่อเปิดช่องให้อำนาจควบคุม/ระงับความเห็นต่างจากรัฐบาลได้
อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ มาตรการควบคุมการเผยแพร่ข่าวสารปลอมของสิงคโปร์


สรุปแผนการดำเนินงานอาเซียนว่าด้วยเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง: มุ่งเน้นยานพาหนะขนาดเล็ก

            สำหรับสถานการณ์ด้านการคมนาคมของประชากรในภูมิภาคอาเซียนภายใน ๑๐ ปีข้างหน้าการเดินทางด้วยรถยนต์โดยสารของประชากรอาเซียนจะเพิ่มขึ้นเป็น ๒ เท่า และมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๖๔ ยอดขายรถยนต์โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็น ๓ ล้านคันต่อปี จาก ๑.๕ ล้านคันในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ ซึ่งประชากรในภูมิภาคจะเป็นเจ้าของรถยนต์กันมากขึ้น จึงมีการคาดการณ์ต่อเนื่องว่าในอนาคตอัตราการใช้ยานยนต์ในภูมิภาคอาเซียนอาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในภูมิภาค (Climate Change) ที่ไม่มีความแน่นอนจึงอาจทำให้เกิดมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตราย แนวโน้มดังกล่าวก่อให้เกิดความพยายามในการผลักดันนโยบายด้านการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงเพื่อรองรับต่อสถานการณ์ในอนาคต


บรูไนกับการบังคับใช้กฎหมายอาญาอิสลาม

บรูไนยกระดับบังคับใช้บทลงโทษตามหลักกฎหมายอิสลาม เพิ่มบทลงโทษเฆี่ยนตี ตัดมือ ปาหินจนเสียชีวิต ถือเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่นำกฎหมายอิสลามมาใช้บังคับครอบคลุมทั่วทั้งประเทศ 


การรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายแก่กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศในประชาคมอาเซียน

ในปัจจุบัน เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนทั้งหลายต่างก็ลงนามเป็นภาคีปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (ASEAN Human Rights Declaration: AHRD) ซึ่งได้มีบทบัญญัติรับรองว่า บุคคลทุกคนเสมอภาคกันตามกฎหมายบุคคลทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองของกฎหมายเท่าเทียมกัน โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ จึงมีประเด็นทางกฎหมายที่น่าสนใจเกี่ยวกับการรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานกลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ


กฎหมายการค้าประเวณีของสาธารณรัฐสิงคโปร์: ความผกผันกันระหว่างเสรีภาพเอกชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

การค้าประเวณี (prostitution) นั้นก็กรณีที่ปัจเจกชนใช้เสรีภาพของตนในการตัดสินใจที่จะเลือกประกอบอาชีพ โดยลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตนเองเพื่อหารายได้ดำรงชีพ หรือประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งด้วยวิธีการยินยอมให้ผู้อื่นใช้ร่างกายของตนเองเป็นวัตถุ เพื่อสนองความต้องการทางเพศของผู้มาซื้อบริการ  ซึ่งการกระทำดังกล่าวนี้ก็มีทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่ให้เห็นด้วยในการที่จะให้อาชีพดังกล่าวได้รับรองตามกฎหมาย  อย่างไรก็ดี ในภูมิภาคอาเซียนนั้น ได้ปรากฏว่าสาธารณรัฐสิงคโปร์ไม่ได้มีมาตรการทางกฎหมายที่ห้ามมิให้มีการประกอบอาชีพหรือธุรกิจการค้าประเวณีแต่อย่างใด หากแต่เป็นการควบคุมภายใต้เงื่อนไขตามที่กฎหมายกำหนด  ด้วยเหตุนี้ จึงมีข้อพิจารณาถึงความขัดแย้งในเนื้อหาปลีกย่อยของสิทธิมนุษยชนที่สำคัญระหว่าง เสรีภาพเอกชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  ดังนั้น กฎหมายการค้าประเวณีของสาธารณรัฐสิงคโปร์จึงมีความน่าสนใจในการศึกษาเพื่อวิเคราะห์ถึงความชอบธรรมตามกฎหมายของการประกอบอาชีพการค้าประเวณีหรือการเป็นโสเภณีภายในประเทศสมาชิกอาเซียน


การลงโทษทางอาญาด้วยวิธีการเฆี่ยนของสาธารณรัฐสิงคโปร์ และปัญหาความสอดคล้องกับปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

     กระบวนการยุติธรรมทางอาญาของประเทศสมาชิกอาเซียนนั้น ก็ได้มีข้อถกเถียงกันในระดับระหว่างประเทศ นั่นคือ การบังคับใช้โทษการเฆี่ยน (caning) ของสาธารณรัฐสิงคโปร์ ซึ่งมีประเด็นปัญหาเกี่ยวกับเรื่องความชอบธรรมและความสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างรัฐได้ หากมีการนำไปปรับใช้กับคนชาติของรัฐอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนด้วยกัน  ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงจะได้ทำการศึกษาความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการลงโทษทางอาญาของประเทศสิงคโปร์ ตลอดจนถึงประวัติความมา และเงื่อนไขการบังคับใช้ของการลงโทษด้วยการเฆี่ยนของประเทศสิงคโปร์ แล้วจึงจะได้วิเคราะห์ปัญหาในเรื่องดังกล่าวและเสนอแนวทางแก้ไขต่อไป
 


แผนยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวอาเซียน พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๘

              การท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญในการก่อให้เกิดรายได้ประชาชาติ และช่วยส่งเสริมการจ้างงานและสร้างอาชีพให้แก่ประชากรภายในประเทศ ทั้งยังก่อให้เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค ตลอดจนมีส่วนในการฟื้นฟูและอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมของประเทศ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจึงเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจสำหรับประเทศส่วนใหญ่ สำหรับอาเซียน อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็น ๑ ใน ๑๒ สาขาเร่งพัฒนาของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) เนื่องจากการท่องเที่ยวเป็นภาคส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เช่น กัมพูชา ลาว มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และไทย เป็นต้น อันเนื่องมาจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีทรัพยากรการท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ และมีความหลากหลาย  นอกจากนี้ อาเซียนยังมีวัฒนธรรมท้องถิ่นที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการผสมผสานกันระหว่างอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหรับ จีน อินเดีย และยุโรป อีกทั้งยังมีสถานที่ซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนมรดกโลกขององค์การเพื่อการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization: UNESCO) ประกอบด้วยมรดกโลกทางธรรมชาติจำนวน ๑๑ แห่งและมรดกโลกทางวัฒนธรรมอีก ๑๗ แห่งอีกด้วย


การขจัดปัญหาและอุปสรรคในการต่อต้านการค้ามนุษย์ของอาเซียน

                     บทความนี้เป็นการรวบรวมปัญหาอันนำไปสู่การค้ามนุษย์ในอาเซียนตามผลการศึกษาการค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐ : ฟิลิปปินส์ กัมพูชา บรูไน สปป.ลาว เวียดนาม มาเลเซีย  เมียนมา อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ มาเพื่อทำการวิเคราะห์ถึงอุปสรรคที่กีดขวางความพยายามอาเซียนในการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ตลอดจนเป็นการศึกษาถึงมาตรการหรือกรอบการดำเนินงานของอาเซียนเพื่อจัดการกับปัญหาและอุปสรรคดังกล่าว และนำอาเซียนไปสู่การเป็นภูมิภาคที่แข็งแกร่งและสามารถขจัดปัญหาการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะสตรีและเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 


แนวทางการจัดการปัญหาขยะพลาสติกในอาเซียน

                      อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นอุตสาหกรรมที่ได้รับความนิยมและมีแนวโน้มการเติบโตที่รวดเร็วและต่อเนื่อง แต่เนื่องจากผลิตภัณฑ์พลาสติกส่วนใหญ่เป็นผลิตภัณฑ์ประเภทใช้งานครั้งเดียว (single-use plastics) และย่อยสลายได้ยาก จึงทำให้มีจำนวนขยะพลาสติกถูกทิ้งและตกค้างอยู่ในสิ่งแวดล้อมทั่วโลกเป็นจำนวนมหาศาล 
​                      ในบริบทของอุตสาหกรรมพลาสติกอาเซียนนั้น เนื่องจากแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียนต่างแข่งขันกันมีบทบาทนำในตลาดการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก จึงทำให้มีหลายประเทศในอาเซียนที่มีการเติบโตและการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าประเทศสมาชิกอาเซียนส่วนใหญ่จะมีมาตรการในการป้องกันผลกระทบและคุ้มครองสิ่งแวดล้อมจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่บ้าง แต่ปัญหามลพิษทางสิ่งแวดอันเนื่องมาจากขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อมยังคงปรากฏให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
​                      อนึ่ง เป็นที่ทราบกันดีว่า ปัญหาขยะพลาสติกในสิ่งแวดล้อมนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ และเนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศต่างพรมแดนที่เชื่อมถึงกันและมีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประชาคมอาเซียนในด้านต่าง ๆ บัดนี้จึงควรถึงเวลาที่ทุกประเทศจะต้องเอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาขยะพลาสติกล้นโลก


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐ : สาธารณรัฐสิงคโปร์

                                      บทความนี้จะศึกษาปัญหาการค้ามนุษย์ในสิงคโปร์ ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ถูกจัดให้อยู่ใน Tier 2  ของการค้ามนุษย์ ปี พ.ศ. ๒๕๖๐  ทั้งนี้ ด้วยตระหนักดีว่าการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมีหลายประเทศในอาเซียนเป็นทั้งประเทศ ต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง และการศึกษาสถานการณ์การค้ามนุษย์ การคุ้มครองเหยื่อค้ามนุษย์  ตลอดจนการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศให้ถ่องแท้ จะช่วยให้ทราบถึงปัญหาและสาเหตุของการค้ามนุษย์ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น
 


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐ : สาธารณรัฐอินโดนีเซีย

                                           บทความนี้จะศึกษาปัญหาการค้ามนุษย์ในอินโดนีเซีย ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ถูกจัดให้อยู่ใน Tier 2 ของการค้ามนุษย์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐  ทั้งนี้ ด้วยตระหนักดีว่าการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมีหลายประเทศในอาเซียนเป็นทั้งประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศ  อย่างกว้างขวาง และการศึกษาสถานการณ์การค้ามนุษย์  ตลอดจนการคุ้มครองเหยื่อค้ามนุษย์และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศให้ถ่องแท้ จะช่วยให้ทราบถึงปัญหาและสาเหตุของการค้ามนุษย์ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น

 


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐: สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

                                      บทความนี้จะศึกษาปัญหาการค้ามนุษย์ใน สปป.ลาว ซึ่งเป็น ๑ ใน ๓ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ถูกจัดให้อยู่ใน Tier 2 Watch list ของการค้ามนุษย์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐  ทั้งนี้ ด้วยตระหนักดีว่าการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมีหลายประเทศในอาเซียนเป็นทั้งประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง  และการศึกษาสถานการณ์การค้ามนุษย์ ตลอดจนการคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์ และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศให้ถ่องแท้ จะช่วยให้ทราบถึงปัญหาและสาเหตุของการค้ามนุษย์ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น

 
 


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐ : สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

                             บทความนี้จะศึกษาปัญหาการค้ามนุษย์ในเวียดนาม ซึ่งเป็น ๑ ใน ๖ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่ถูกจัดให้อยู่ใน Tier 2 ของการค้ามนุษย์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐  ทั้งนี้ ด้วยตระหนักดีว่าการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ โดยมีหลายประเทศในอาเซียนเป็นทั้งประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง และการศึกษาสถานการณ์การค้ามนุษย์ ตลอดจนการคุ้มครองเหยื่อการค้ามนุษย์ และการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศให้ถ่องแท้ จะช่วยให้ทราบถึงปัญหาและสาเหตุของการค้ามนุษย์ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาแนวทางในการแก้ไขและป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในอาเซียนได้ดียิ่งขึ้น

 


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐: บรูไนดารุสซาลาม

                                  เนื่องจากการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ เนื่องจาก การเปิดพรมแดนในด้านต่าง ๆ ที่ทำให้การเดินทางข้ามแดนมีความสะดวกมากขึ้น และมีหลายประเทศในอาเซียนเป็นทั้งประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง ต้องได้รับการแก้ไขและจัดการ อย่างมีประสิทธิภาพ 


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐: ราชอาณาจักรกัมพูชา

                       เนื่องจากการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ เนื่องจากการเปิดพรมแดนด้านต่าง ๆ ที่ทำให้การเดินทางข้ามแดนมีความสะดวกมากขึ้น และมีหลายประเทศ ในอาเซียนเป็นทั้งประเทศต้นทาง ประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางของการค้ามนุษย์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศอย่างกว้างขวาง ซึ่งจำต้องจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ 


การค้ามนุษย์ในประเทศสมาชิกอาเซียน พ.ศ. ๒๕๖๐: สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

                    เนื่องจากอาเซียนเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่ประสบปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นการค้ามนุษย์ภายในภูมิภาค อาจเนื่องมาจากการเปิดพรมแดนในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่ทำให้การเดินทางข้ามแดนมีความสะดวกมากขึ้น และมีหลายประเทศในอาเซียนที่เป็นทั้งประเทศต้นทางประเทศทางผ่าน และประเทศปลายทางในการค้ามนุษย์ ซึ่งปัญหาการค้ามนุษย์ย่อมส่งผลกระทบทั้งในระดับภูมิภาคหรือในระหว่างประเทศ เนื่องการค้ามนุษย์เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อันเป็นปัญหาที่จะต้องได้รับการแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพ


การจัดการสารปรอทในประเทศสมาชิกอาเซียน: สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สหพันธรัฐมาเลเซีย และบรูไนดารุสซาลาม

            บทความนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากกรณีศึกษาอาเซียนกับการจัดการปรอทประกอบกับภาพรวมในการปลดปล่อยสารปรอทของภูมิภาคเอเชียออกสู่สิ่งแวดล้อม มุ่งทำการศึกษาถึงระบบการจัดการปรอทภายในประเทศสมาชิกอาเซียนอื่น ทั้งที่เป็นกรอบระเบียบและข้อบังคับภายใน กรอบการบริหารของภาครัฐ และการดำเนินการในทางปฏิบัติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน โดยจะยกตัวอย่างกรณีศึกษาของสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ สหพันธรัฐมาเลเซีย และบรูไนดารุสซาลาม ซึ่งยังไม่เป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ


การจัดการสารปรอทในประเทศสมาชิกอาเซียน: ราชอาณาจักรไทย

การศึกษาถึงระบบการจัดการปรอทภายในประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้งที่เป็นกรอบระเบียบและข้อบังคับภายใน กรอบการบริหารของภาครัฐ และการดำเนินการในทางปฏิบัติของแต่ละประเทศสมาชิกอาเซียน โดยในบทความฉบับนี้จะยกตัวอย่างกรณีศึกษาของราชอาณาจักรไทยซึ่งเป็นภาคีอนุสัญญามินามาตะฯ


อาเซียนกับการจัดการปรอท (๒)

สถานการณ์และภาพรวมการนำเข้าและส่งออกสารปรอทในภูมิภาคอาเซียนระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๔ - ๒๕๕๘


อาเซียนกับการจัดการปรอท (๑)

               เมื่อสารปรอทถูกปล่อยออกมาอันเนื่องมาจากกิจกรรมของมนุษย์ในด้านต่าง ๆ และแพร่กระจายออกสู่บรรยากาศ ทำให้สารปรอทหมุนเวียนอยู่ในระบบนิเวศและสะสมระดับความเข้มข้นของพิษปรอทสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อสารปรอทถูกสะสมในธรรมชาติอยู่ตลอดเวลาแล้วจึงทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาวและยากแก่การแก้ไขฟื้นฟูให้กลับมาดีดังเดิมได้ 


ประเทศไทย: การคุ้มครองประชาชนในเหตุการณ์บังคับให้บุคคลสูญหาย (๑)

  เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เป็นครั้งแรกที่เกิดการบังคับให้บุคคลสูญหาย (Enforced Disappearance) เป็นที่ประจักษ์ นายอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้นำเผด็จการของพรรคนาซีในเยอรมัน


การปฏิรูปการศึกษาในอาเซียน

การศึกษาถือเป็นสิทธิสากลขั้นพื้นฐานของมนุษย์ที่จะได้รับโดยไม่คำนึงถึงเพศ เชื้อชาติ สีผิว สถานการณ์แวดล้อม และอื่น ๆ และในปีที่ผ่านมาผู้นำจากประเทศอาเซียนได้สร้างประวัติศาสตร์ในการคุ้มครองสิทธิดังกล่าวโดยการรับรอง “ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยการสร้างเสริมความเข้มแข็งด้านการศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนตกหล่น” (ASEAN Declaration on Strengthening Education for Out-of-School Children and Youth - OOSCY)


สถานการณ์ของชาวโรฮิงญาในปัจจุบัน (๓)

ประเทศสมาชิกของอาเซียนกับการช่วยเหลือชาวโรฮิงญา


สถานการณ์ของชาวโรฮิงญาในปัจจุบัน (๒)

ตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับชาวโรฮิงญา


สถานการณ์ของชาวโรฮิงญาในปัจจุบัน (๑)

ชาวโรฮิงญาได้ถูกพูดถึงในฐานะกลุ่มที่ “เป็นที่ต้องการน้อยที่สุดในโลก”[๑] และเป็น “หนึ่งในกลุ่มชนส่วนน้อยของโลกที่ถูกกลั่นแกล้งมากที่สุด”[๒] พวกเขาเป็นกลุ่มผู้นับถือศาสนามุสลิม และได้อาศัยอยู่ในเมียนมานับหลายศตวรรษ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ในเมียนมานับถือศาสนาพุทธ


วิเคราะห์พันธกรณีของประเทศสมาชิกอาเซียนว่าด้วยกฎหมายแรงงานต่างด้าว

เมื่อวันที่ ๖-๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐ เจ้าหน้าที่แรงงาน พนักงานตรวจแรงงาน อัยการ และพนักงานสอบสวน จากประเทศสมาชิกอาเซียนได้เข้าร่วม


ตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายภายในของประเทศสมาชิกอาเซียนเกี่ยวกับการทำแท้ง

กฎหมายการทำแท้งตามกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศกำหนดอย่างไร และกฎหมายในประเทศสมาชิกตอบสนองต่อพันธกรณีที่แต่ละประเทศมีต่อตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการทำแท้งหรือไม่...


เสรีภาพในการแสดงออกและสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารในอาเซียน: กรณีศึกษาประเทศเวียดนาม

ทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงออกและแลกเปลี่ยนทางความคิด ความเห็นอย่างอิสระ ยังมีประเด็นปัญหาเรื่อยมาและทวีความรุนแรงมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาซึ่งก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อพลเมืองในประเทศสมาชิกอาเซียน


การสาธารณสุขของประเทศสมาชิกอาเซียน: ประเทศสิงคโปร์

ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ได้รับการยกย่องในด้านการสาธารณสุขเนื่องจากมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบประกันสุขภาพต่าง ๆ ที่ WHO ยกย่องให้เป็นประเทศที่มีการสาธารณสุขเป็นอันดับ ๖ และ Bloomberg จัดอันดับให้ประเทศสิงคโปร์มีระบบประกันสุขภาพเป็นอันดับ ๑[๑] ของโลกในด้านความมีประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านระบบประกันสุขภาพ ระบบประกันสุขภาพของสิงคโปร์เป็นระบบการตั้งกองทุนออมที่ผู้เข้าร่วมต้องจ่ายเงินออมเข้ากองทุนโดยหักเงินค่าจ้างเข้ากองทุนที่มีหลายกองทุนเป็นหลัก ซึ่งวิธีดังกล่าวทำให้ค่ารักษาพยาบาลไม่สูงมากนัก บทความนี้จะกล่าวถึงระบบประกันสุขภาพของสิงคโปร์โดยมีรายละเอียดดังนี้


การสาธารณสุขของประเทศสมาชิกอาเซียน : เมียนมา

ระบบประกันสุขภาพถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับรัฐที่จะดูแลประชาชนในประเทศ การหาเสียงเลือกตั้งแต่ละครั้ง ผู้สมัครต่างให้ความสำคัญกับนโยบายด้านสุขภาพ เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวประชาชนและค่าบริการรักษาโรคบางชนิดค่อนข้างสูง การเมืองของประเทศสมาชิกอาเซียนมีลักษณะคล้ายกับทั่วโลกเช่นกัน คือ พรรคการเมืองต่างหาเสียงด้านนโยบายประกันสุขภาพประชาชน เมียนมาเป็นหนึ่งในประเทศที่ให้ความสำคัญกับการสาธารณสุขถึงแม้ว่ารายได้ประเทศในปัจจุบันจะไม่มากก็ตามแต่ได้กำหนดสิทธิประโยชน์ที่มีความก้าวหน้าและมีการพัฒนาแผนงานที่น่าสนใจ


นโยบายการปราบปรามยาเสพติดในอาเซ๊ยน

ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาซึ่งอาเซียนได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งในการทำให้หมดไปจากภูมิภาคความพยายามของอาเซียนแสดงให้เห็นได้จากผู้นำอาเซียนได้ลงนามในแถลงการณ์ร่วมว่าด้วยการทำให้อาเซียนเป็นภูมิภาคที่ปลอดจากยาเสพติด (Joint Declaration for A Drug-Free ASEAN) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๕



    © 2017 Office of the Council of State.