[๑] ข้อ ๓ แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติว่า
“Each State Party shall take appropriate measures to investigate acts defined in article 2 committed by persons or groups of persons acting without the authorization, support or acquiescence of the State and to bring those responsible to justice.”
เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/Publication/CTC/Ch_IV_16.pdf
[๒] ข้อ ๕ แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติว่า
“The widespread and systematic practice of enforced disappearance constitutes a crime against humanity as defined in applicable international law and shall attract the consequences provided for under such applicable international law.”
เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/Publication/CTC/Ch_IV_16.pdf
[๔] ข้อ ๒๔ แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติว่า
“1. For the purposes of this Convention, “victim” means the disappeared person and any individual who has suffered harm as the direct result of an enforced disappearance…”
เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/Publication/CTC/Ch_IV_16.pdf
[๕] ดูอ้างอิงที่ ๑, น.๑๘๒
[๖] ข้อ ๒๔ แห่งอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ พ.ศ. ๒๕๕๓ บัญญัติว่า
“...
2. Each victim has the right to know the truth regarding the circumstances of the enforced disappearance, the progress and results of the investigation and the fate of the disappeared person. Each State Party shall take appropriate measures in this regard…”
เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/Publication/CTC/Ch_IV_16.pdf
[๗] มาตรา ๓๐๙ แห่งประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. ๒๔๙๙ บัญญัติว่า
“ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือ จำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใด ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท”
สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb06/%bb06-20-9999-update.pdf
[๘] มาตรา ๒ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ บัญญัติว่า
“...
(๔) “ผู้เสียหาย” หมายความถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำผิดฐานใดฐานหนึ่งรวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดการแทนได้ ดังบัญญัติไว้ในมาตรา ๔, ๕ และ ๖...”
สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb05/%bb05-20-9999-update.pdf
[๙] มาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ บัญญัติว่า
“ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นหญิงมีสามี หญิงนั้นมีสิทธิฟ้องคดีได้เองโดยมิต้องได้รับอนุญาตจากสามีก่อน
ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๕ (๒) สามีมีสิทธิฟ้องคดีอาญาแทนภริยาได้ ต่อเมื่อได้รับอนุญาตโดยชัดแจ้งจากภริยา”
สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb05/%bb05-20-9999-update.pdf
[๑๐] มาตรา ๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ บัญญัติว่า
“บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้
(๑) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล
(๒) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้
(๓) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคล เฉพาะความผิดซึ่งได้กระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น”
สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb05/%bb05-20-9999-update.pdf
[๑๑] มาตรา ๖ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ บัญญัติว่า
“ในคดีอาญาซึ่งผู้เสียหายเป็นผู้เยาว์ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรม หรือเป็นผู้วิกลจริตหรือคนไร้ความสามารถไม่มีผู้อนุบาล หรือซึ่งผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาลไม่สามารถจะทำการตามหน้าที่โดยเหตุหนึ่งเหตุใด รวมทั้งมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถนั้น ๆ ญาติของผู้นั้น หรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องอาจร้องต่อศาลขอให้ตั้งเขาเป็นผู้แทนเฉพาะคดีได้...”
สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb05/%bb05-20-9999-update.pdf
[๑๒] มาตรา ๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ. ๒๔๗๗ บัญญัติว่า
“บุคคลดังระบุในมาตรา ๔,๕ และ ๖ มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ...
(๒) เป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญา หรือเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ...”
สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/law/law4/%bb05/%bb05-20-9999-update.pdf
[๑๓] คดีหมายเลขดำที่ ๑๙๕๒/๒๕๔๗ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๘/๒๕๔๗
[๑๔] ข้อ ๑๘ แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา พ.ศ. ๒๕๑๒ (The Vienna Convention on the Law of Treaties 1969) บัญญัติว่า
“A State is obliged to refrain from acts which would defeat the object and purpose of a treaty when:
(a) It has signed the treaty or has exchanged instruments constituting the treaty subject to ratification, acceptance or approval, until it shall have made its intention clear not to become a party to the treaty; or
(b) It has expressed its consent to be bound by the treaty, pending the entry into force of the treaty and provided that such entry into force is not unduly delayed.”
เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/publication/unts/volume%201155/volume-1155-i-18232-english.pdf
[๑๕] Human Rights Watch,
ประเทศไทย: ปฏิบัติตามขั้นตอนสุดท้ายของการรับรองอนุสัญญาคนหาย, ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๖๐, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://www.hrw.org/th/news/2017/06/09/304828
[๑๗] บทความฉบับนี้เขียนเมื่อวันที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐