[๒] ข้อ ๑ แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. ๒๔๙๔ สรุปใจความได้ว่า “ผู้ลี้ภัย” หมายถึง บุคคลซึ่งไม่สามารถหรือไม่เต็มใจกลับประเทศต้นทางของตนเนื่องมาจากความกลัวซึ่งมีมูลอันจะกล่าวอ้างได้ว่าจะได้รับการประหัตประหารด้วยสาเหตุทางเชื้อชาติ ศาสนา สัญชาติ สมาชิกภาพในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ว่าทางสังคมหรือทางความคิดด้านการเมืองก็ตาม, เข้าได้ถึงจาก https://www.unhcr.or.th/sites/default/files/Refugee%20Convention%201951%20(Thai).pdf
[๔] ข้อ ๓๓ (๑) แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติว่า
“No Contracting State shall expel or return (“refouler”) a refugee in any manner whatsoever to the frontiers of territories where his life or freedom would be threatened on account of his race, religion, nationality, membership of a particular social group or political opinion”
เข้าได้ถึงจาก http://www.unhcr.org/protect/PROTECTION/3b66c2aa10.pdf
[๕] ข้อ ๓๓ (๒) แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติว่า
“The benefit of the present provision may not, however, be claimed by a refugee whom there are reasonable grounds for regarding as a danger to the security of the country in which he is, or who, having been convicted by a final judgment of a particularly serious crime, constitutes a danger to the community of that country.”
เข้าถึงได้จาก http://www.unhcr.org/protect/PROTECTION/3b66c2aa10.pdf
[๖] ข้อ ๔๒ (๑) แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. ๒๔๙๔ บัญญัติว่า
“At the time of signature, ratification, or accession, any State may make reservations to articles of the Convention other than to articles 1, 3, 4, 16(1), 33, 36-46 inclusive.”
เข้าถึงได้จาก http://www.unhcr.org/protect/PROTECTION/3b66c2aa10.pdf
[๗] มติการประชุมสมัชชาใหญ่ฯ ที่ ๒๑๙๘ (๒๑) พิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ลี้ภัยhttps://www.unhcr.or.th/sites/default/files/Refugee%20Protocol%201967%20(Thai).pdf
[๘] ข้อ ๑ (๒) แห่งพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. ๒๕๑๐ บัญญัติว่า
“For the purpose of the present Protocol, the term “refugee” shall, except as regards the application of paragraph 3 of this article, mean any person within the definition of Article I of the Convention as if the words “As a result of events occurring before 1 January 1951 and…” and the words “…as a result of such events”, in article 1 A (2) were omitted.”
เข้าถึงได้จาก http://www.ohchr.org/Documents/ProfessionalInterest/protocolrefugees.pdf
[๙] ข้อ ๑ (๑) แห่งพิธีสารเกี่ยวกับสถานภาพผู้ลี้ภัย พ.ศ. ๒๕๑๐ บัญญัติว่า
“The State Parties to the present Protocol undertake to apply articles 2 to 34 inclusive of the Convention to refugees as hereinafter defined.”
เข้าถึงได้จาก http://www.ohchr.org/Documents/ProfessionalInterest/protocolrefugees.pdf
[๑๐] United Nations Treaty Collection, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/Pages/ViewDetails.aspx?src=IND&mtdsg_no=V-5&chapter=5&lang=en
[๑๑] The Canadian Yearbook of International Law,
The United Nations Declaration on Territorial Asylum, P. Weis, ๒๕๑๒, น.๑๔๒, เข้าถึงได้จาก https://www.cambridge.org/core/journals/canadian-yearbook-of-international-law-annuaire-canadien-de-droit-international/article/united-nations-declaration-on-territorial-asylum/54E45B1E2A099A980A8A240E60C4927F
[๑๓] Oxford University Press,
The Law of International Human Rights Protection, Walter Kalin และ Jorg Kunzil, ๒๕๕๒, น.๕๑๑, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐
[๑๔] EU Law Analysis,
Non-refoulement: is part of the EU’s qualification Directive invalid?, Steve Peers, ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๐, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://eulawanalysis.blogspot.com/2017/01/non-refoulement-is-part-of-eus.html; European Union Agency for Fundamental Rights,
Scope of the principle of non-refoulement in contemporary border management: evolving areas of law, ๒๕๕๙, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://fra.europa.eu/sites/default/files/fra_uploads/fra-2016-scope-non-refoulement_en.pdf
[๑๕] ข้อ ๓๘ (๑)(ข) แห่งธรรมนูญจัดตั้งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Statute of the International Court of Justice) บัญญัติว่า
“The Court, whose function is to decide in accordance with international law such disputes as are submitted to it, shall apply:
b. international custom, as evidence of a general practice accepted as law…”
เข้าถึงได้จาก http://legal.un.org/avl/pdf/ha/sicj/icj_statute_e.pdf
[๑๖] โปรดดูอ้างอิงที่ ๓๐ ของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR),
Advisory Opinion on the Extraterritorial Application of Non-Refoulement Obligations under the 1951 Convention relating to the Status of Refugees and its 1967 Protocol,
๒๕๕๐, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://www.unhcr.org/4d9486929.pdf
[๑๗] ข้อ ๓ (๑) แห่งอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน การปฏิบัติ หรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี พ.ศ. ๒๕๒๗ บัญญัติว่า
“รัฐภาคีตองไม่ขับไล่ สงกลับ (ผลักดันกลับออกไป) หรือสงบุคคลเป็นผู้ร้ายข้ามแดนไปยังอีกรัฐหนึ่ง เมื่อมีเหตุอันควรเชื่อได้วาบุคคลนนจะตกอยู่ภายใตอันตรายที่จะถูกทรมาน”
เข้าถึงได้จาก http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/catt.pdf
[๑๘] โดยหลักกฎหมายระหว่างประเทศไม่มีลำดับศักดิ์เหมือนอย่างกฎหมายภายในประเทศ ดังนั้นกฎหมายที่มาจากบ่อเกิดทั้งสามตามข้อ ๓๘ (๑) แห่งธรรมนูญจัดตั้งศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (Statute of the International Court of Justice – ICJ): ตราสารทางกฎหมายระหว่างประเทศ (treaties) กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (Customary International Law) และหลักกฎหมายทั่วไป (general principles of law) ถือว่ามีลำดับศักดิ์เท่ากัน ซึ่งจะต่างกับกฎหมายภายในประเทศซึ่งกฎหมายลำดับรองไม่สามารถขัดกับกฎหมายที่มีลำดับสูงกว่าได้ เช่น พระราชบัญญัติไม่สามารถขัดกับบทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญได้ แต่ข้อยกเว้นในเรื่องการไม่มีลำดับศักดิ์ของกฎหมายระหว่างประเทศคือ
Jus cogens ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ทั่วไปแห่งกฎหมายระหว่างประเทศที่มีลักษณะเป็นกฎหมายเด็ดขาดซึ่งจะละเมิดมิได้ เป็นกฎหมายบังคับเด็ดขาดหรือกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอันเป็นหลักกฎหมายทั่วไปที่ได้ยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ (General Principles of Law as Recognised by Civilised Nations)
[๑๙] ข้อ ๖ แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองปี พ.ศ. ๒๕๐๙ (ICCPR) เข้าถึงได้จาก https://treaties.un.org/doc/publication/unts/volume%20999/volume-999-i-14668-english.pdf
[๒๑] เพิ่งอ้าง, มาตรา ๑๘, ๑๙
[๒๕] ข้อ ๑๙,
Advisory Opinion on the Extraterritorial Application of Non-Refoulement
Obligations under the 1951 Convention on the Status of Refugees and its 1967 Protocol, UNHCR, ๒๕๕๐, เข้าถึงได้จาก http://www.unhcr.org/4d9486929.pdf และ ข้อ ๙, หน้า ๑๕๒,
ความเห็นทั่วไปฉบับที่ ๒๐ ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติตามข้อที่ ๗ ว่าด้วยเรื่องการห้ามการทรมาน การปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี (UN Human Rights Committee, General Comments No.20: Article 7 (Prohibition of torture, or other cruel, inhuman or degrading treatment or punishment), ๑๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๕, U.N. Doc. HRI/ GEN/1/Rev.7, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๒๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก file:///C:/Users/lawdraft/Downloads/G0441302.pdf
[๒๖] ข้อ ๓๗ แห่งอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก พ.ศ. ๒๕๓๒ บัญญัติว่า
“จะไม่มีเด็กคนใดได้รับการทรมาน หรือถูกปฏิบัติ หรือลงโทษที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือต่ำช้า จะไม่มีการลงโทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต ที่ไม่มีโอกาสจะได้รับการปล่อยตัวสำหรับความผิดที่กระทำโดยบุคคลที่มีอายุต่ำกว่าสิบแปดปี” เข้าถึงได้จาก http://humanrights.mfa.go.th/upload/pdf/crct.pdf
[๒๗] ข้อ ๒๗, หน้า ๙,
ความเห็นทั่วไปฉบับที่ ๖ ของคณะกรรมการว่าด้วยสิทธิเด็กแห่งสหประชาชาติ (UN Committee on the Rights of the Child, General Comments No.6), ๒๕๔๘, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://www2.ohchr.org/english/bodies/crc/docs/GC6.pdf
[๒๘] โปรดดู ข้อ ๕,
The Principle of Non-Refoulement as a Norm of Customary International Law, UNHCR, ๒๕๓๗, สืบค้นข้อมูลวันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐, เข้าถึงได้จาก http://www.refworld.org/docid/437b6db64.html
[๓๐] อ้างอิงข้อมูล ณ วันที่ ๔ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๐ จาก https://treaties.un.org/