ตลาดรถยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากตัวเลขการขายร่วงลงมาเป็นเวลากว่า ๑ ปี โดยฟิลิปปินส์และประเทศไทยเป็นตัวขับเคลื่อนการเจริญเติบโตที่สำคัญสำหรับบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในภูมิภาค
ข่าวนี้ถือเป็นข่าวดีสำหรับบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นครองสัดส่วนในตลาดของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เกือบร้อยละ ๘๐ ประกอบกับผลการจำหน่ายรถยนต์ประจำปีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีจำนวนมากกว่า ๒.๕ ล้านคัน ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่มีความสำคัญต่อบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นมากกว่าภูมิภาคยุโรปหรืออินเดียเนื่องมาจากบริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นไม่สามารถตีตลาดยุโรปได้เพราะมีรถยนต์ยี่ห้อ โฟล์คสวาเกน (Volkswagen) เป็นผู้ครองตลาด และสามารถครองตลาดในอินเดียได้ร้อยละ ๕๐ ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้วถือว่าภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นตลาดที่น่าดึงดูดมากกว่าด้วยอัตราการครองตลาดที่สูงกว่าตลาดในอินเดีย
ตัวเลขการขายรวมของ ๖ ประเทศในภูมิภาค ได้แก่ สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนามเพิ่มสูงขึ้นร้อยละ ๕ ในปีนี้ โดยมีตัวเลขการซื้อรถยนต์ใหม่ในช่วงมกราคมถึงมิถุนายนที่ผ่านมาถึง ๑.๖๒ ล้านคัน ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ ปีที่ยอดการขายรถยนต์สูงถึง ๑.๖ ล้านคัน
การที่ยอดขายเพิ่มสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ ๓ ปีส่งผลให้มีการผลิตกว่า ๓.๒ ล้านคัน โดยนาย Michinobu Sugata ประธานกรรมการบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย คาดว่าการเติบโตของตลาดรถยนต์ภายในประเทศไทยจะเติบโตอย่างต่อเนื่องถึงสิ้นปีนี้ โดยคาดการณ์ว่าตัวเลขการขายจะสูงกว่า ๓.๓ ล้านคัน
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นภูมิภาคที่น่าลงทุนอย่างมากสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ท่ามกลางความปั่นป่วนของตลาดในประเทศอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น ตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์ของจีนลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงครึ่งปีแรกเนื่องมาจากการที่จีนประกาศเพิ่มภาษีรถยนต์ ส่วนในสหรัฐอเมริกาเอง ตัวเลขการจำหน่ายในช่วงเวลาดังกล่าวก็ได้ลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ ๘ ปี
การเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง
ฟิลิปปินส์ถือเป็นผู้นำการฟื้นการขายนี้โดยผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายอย่างต่อเนื่องแม้มีการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างทหารและผู้ก่อการร้ายในหมู่เกาะตอนใต้ของมินดาเนา
ตัวแทนฝ่ายขายของ Toyota Alabang ซึ่งเป็นตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้าใกล้เมืองมะนิลากล่าวอย่างมั่นใจว่า ตัวเลขการขายจะสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรถยนต์ที่ขายดีได้แก่รถยนต์ยี่ห้อ Toyota รุ่น Fortuner ที่แม้จะมีมูลค่าสูงกว่า ๒๙,๗๑๕ เหรียญสหรัฐ
[๑] ก็ยังได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริหาร โดยประชากรหลายคนกำลังเร่งซื้อรถยนต์คันใหม่ก่อนที่รัฐบาลจะเพิ่มภาษีตามที่ได้ประกาศ
โตโยต้า มอเตอร์ ฟิลิปปินส์วางแผนจะขยายเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายรถยนต์จาก ๕๒ แห่งเป็น ๖๖ แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยนาย Satoru Suzuki ประธานโตโยต้า มอเตอร์ ฟิลิปปินส์ กล่าวว่า ความต้องการใช้รถยนต์กำลังเพิ่มสูงขึ้นไม่ว่าจะในเขตชนบทหรือในเมืองก็ตาม เนื่องจากรถยนต์กำลังกลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ความต้องการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ตลาดรถยนต์ในประเทศไทยก็เติบโตได้ด้วยดีเหมือนกับประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาค โดยมีการเติบโตในระดับตัวเลข ๒ หลัก ความต้องการของคนในประเทศไทยกำลังพุ่งสูงขึ้นแม้ตอนแรกจะเริ่มต้นช้าเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงกฎหมายภาษี แต่ผู้บริโภคกำลังกระตือรือร้นที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องมาจากการฟื้นตัวจากอารมณ์ความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นหลังจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา
ขณะนี้โตโยต้าคาดการณ์ว่าตัวเลขการขายรถยนต์ในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๘ เท่ากับ ๘๓๐,๐๐๐ คัน ซึ่งมากกว่าตัวเลขเดิมที่คาดการณ์ไว้จำนวน ๓๐,๐๐๐ คัน
ตลาดรถยนต์ในอินโดนีเซียและมาเลเซีย ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับแรกและอันดับสามในภูมิภาคก็มีการเติบโตตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤษภาคม โดยมีตัวเลขการจำหน่ายรถยนต์คงที่ที่ร้อยละ ๖ ถึงร้อยละ ๗ แต่เมื่อเดือนมิถุนายนตัวเลขนี้ได้ลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากพิธีถือศีลอดของชาวอิสลามหรือรอมฎอนที่มาถึงเร็วกว่าปีที่แล้ว
[๒] ดังนั้นตลาดของ ๒ ประเทศนี้จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าจะสามารถดีดตัวกลับมาได้อีกครั้งหรือไม่
บริษัท Mitsubishi Motors ซึ่งเป็นบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นมีแผนจะเริ่มการผลิตรถยนต์อเนกประสงค์ ๗ ที่นั่ง รุ่นใหม่ในอินโดนีเซียในเดือนกันยายนนี้ โดยจะเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ที่ Gaikindo Indonesia International Auto Show ที่จัดขึ้นนอกเมืองจาร์กาตาตั้งแต่วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๖๐ เป็นต้นไป
ข้อยกเว้นของกฎเกณฑ์
ความแข็งแกร่งของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ทำให้ภาวะตลาดซบเซาในเวียดนามเป็นที่ปรากฎชัดยิ่งขึ้น รถยนต์ซีดาน Mazda ๓ ที่ผลิตโดย Truong Hai Auto ให้กับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่น Mazda Motor ในเวียดนามนั้น จำเป็นต้องลดราคาที่ตั้งจำหน่ายลงเกือบร้อยละ ๑๐ ในขณะเดียวกันตัวแทนจำหน่ายของบริษัท Honda Motor ได้ขายรถยนต์ Honda CR-V โดยต้องใช้แรงจูงใจในรูปแบบต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการแถมชิ้นส่วนอุปกรณ์ของรถยนต์ หรือแม้กระทั่งแถมทองคำ ซึ่งรวมมูลค่าประมาณ ๒,๐๐๐ เหรียญสหรัฐ
เมื่อเดือนมีนาคมผู้บริโภควัย ๓๗ ปีคนหนึ่งในเมืองฮานอยได้ตัดสินใจซื้อรถยนต์ยี่ห้อ Honda City เนื่องจากได้รับส่วนลด ๕๗๑ เหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนลดที่มากกว่ารถยนต์ประเภทเดียวกันของยี่ห้อโตโยต้าและฟอร์ด
ทั้งนี้ เวียดนามมีแผนที่จะลดภาษีลงร้อยละ ๓๐ ในปีหน้าสำหรับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์เล็กกว่า ๓ ลิตรที่นำเข้ามาจากประเทศสมาชิกของอาเซียน เมื่อสินค้ามีแนวโน้มจะถูกลงร้อยละ ๒๐ ผู้บริโภคจึงยังไม่อยากที่จะใช้จ่าย แม้แต่โตโยต้าซึ่งเป็นผู้ครองตลาดรถยนต์กว่าร้อยละ ๒๐ ก็ยังไม่มีทางเลือกอื่นจึงจำเป็นต้องให้ส่วนลดเหมือนบริษัทรถยนต์รายอื่นเช่นเดียวกัน
ผู้บริหารสัญชาติญี่ปุ่นจากบริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่งกล่าวว่า เมื่อปีที่แล้วยอดตัวเลขการขายรถยนต์คันใหม่ในเวียดนามแตะถึง ๓๐๐,๐๐๐ คันเป็นครั้งแรกสืบเนื่องมาจากการที่มีการเจริญเติบโตในระดับตัวเลข ๒ หลักมาหลายปี แต่อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นในปีนี้ตัวเลขนี้จะลดลงไปจากที่ตั้งเป้าการขายไว้อีกรอบ
ความลำบากสำหรับผู้ส่งออก
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งของภูมิภาค กระนั้นถึงแม้ว่าจะมีความต้องการภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ก็กำลังเผชิญกับปัญหาโดยตัวเลขการส่งออกลดลงร้อยละ ๔ เหลือ ๙๕๑,๐๐๐ คันในช่วงเดือนมกราคมถึงมิถุนายน สาเหตุสำคัญเกิดจากยอดการส่งออกไปยังภูมิภาคตะวันออกกลางที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบซบเซา โดยภูมิภาคดังกล่าวเป็นตลาดรถยนต์ส่งออกที่สำคัญของประเทศไทย เจ้าหน้าที่อาวุโสรายหนี่งกล่าวว่า สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยอาจจำเป็นต้องปรับแผนการส่งออกจากที่เดิมคาดการณ์ไว้ ๑.๒ ล้านคัน ให้ลดเหลือ ๑.๑ ล้านคันหรือน้อยกว่านี้ ทำให้ตัวเลขการส่งออกจากเดิมที่คาดการณ์ไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ ๓ จะกลายเป็นลดลงร้อย ๖ หรือมากกว่านั้นแทน ซึ่งเป็นแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องจากปี พ.ศ. ๒๕๕๙ แม้จะมีการคาดการณ์ว่าปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศจะสูงขึ้นเป็น ๖๐,๐๐๐ คัน แต่ตัวเลขการส่งออกที่ลดลงมีจำนวนมากกว่า
โตโยต้าซึ่งเป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในประเทศไทยหวังว่าจะลดความเสียหายจากผลกระทบด้านการส่งออกครั้งนี้ให้มากที่สุด โดยมุ่งเป้าการส่งออกไปยังตลาดประเทศอื่น เช่น รัสเซีย แอฟริกาใต้ เป็นต้น
เรียบเรียงจาก: https://asia.nikkei.com/Business/Trends/Southeast-Asian-auto-market-roaring-back-to-life
[๑] ๙๘๕,๓๕๐ บาท (๑ เหรียญสหรัฐ = ๓๓.๑๖ เทียบเคียงอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐)
[๒] ในช่วงรอมฎอนนั้น ชาวมุสลิมจะต้องมุ่งมั่นกับการตั้งจิต ทำพิธีทางศาสนา และบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือมูลนิธีต่าง ๆ จึงทำให้ไม่มีการใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่งผลให้ยอดการจำหน่ายรถยนต์ของตลาดลดลง