BANNER

(TH) ศาลสั่งลงโทษชายผู้กระทำผิดเป็น“คนแรก”ภายใต้กฎหมายการใช้สุนัขล่าสัตว์ฉบับใหม่ของสกอตแลนด์


 ข่าวต่างประเทศ      21 Feb 2025

  


                    ชายคนหนึ่งชื่อว่า Nickolas Chenier วัย ๕๖ ปี ซึ่งเขาเป็นคนแรกในสกอตแลนด์ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกลงโทษภายใต้กฎหมายการล่าสัตว์ฉบับใหม่ จากการที่สุนัขของชายคนนี้ได้ทำร้ายและฆ่ากวางตัวหนึ่ง โดยขณะที่เขากำลังใช้สุนัขล่าเนื้อสีทองของเขาในการไล่ล่ากระต่าย ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการใช้สุนัขล่าเนื้อและการฆ่ากระต่าย สุนัขตัวนี้ได้ไล่ตามกวางตัวหนึ่งในบริเวณใกล้สุสานแห่งหนึ่งในเมือง Wick
                    ในขณะเกิดเหตุ ประชาชนผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็พยายามปกป้องกวางตัวดังกล่าวที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก่อนที่ Nickolas Chenier จะปรากฏตัวขึ้นและลงมือฆ่ากวางตัวดังกล่าวด้วยมีดของเขา เขาจึงถูกดำเนินคดีภายใต้กฎหมายการล่าสัตว์โดยใช้สุนัข (Hunting With Dogs) ซึ่งมีผลบังคับใช้ในปี ค.ศ. ๒๐๒๓ และถูกปรับ ๗๕๐ ปอนด์ (ประมาณ ๓๐,๐๐๐ บาท) และห้ามเลี้ยงสุนัขเป็นเวลา ๕ ปี ซึ่งเขาได้รับสารภาพต่อศาล Wick Sheriff แล้ว
                    จากการตรวจสอบพยานหลักฐาน ศาลรับฟังได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นใกล้กับสุสาน Olrig เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ. ๒๐๒๔ ซึ่งกวางตัวดังกล่าวขาหน้าหักขณะที่กำลังวิ่งหนีจากการถูกไล่ล่าของสุนัข แต่สุนัขตัวดังกล่าวก็ตามทันและเข้าทำร้ายทันที ตำรวจพบว่า Nickolas Chenier เป็นผู้ลงมือฆ่ากวางตัวดังกล่าวในเวลาต่อมาและนำร่างใส่ท้ายรถตู้ของตน ซึ่งตำรวจตรวจพบซากกวางแขวนอยู่นอกกระท่อมของเขาในเวลาต่อมา และจากการวิเคราะห์ DNA พบว่าขนและกระดูกของกวางตรงกับตัวอย่างที่เก็บมาจากบริเวณที่เกิดเหตุ นอกจากนี้ ยังพบ DNA ของสุนัขล่าสัตว์ของเขาบนตัวกวางด้วย
                    ภายหลังจากที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษ Nickolas Chenier แล้ว นาย Iain Batho จากสำนักงานอัยการสูงสุดของสกอตแลนด์ (Crown Office and Procurator Fiscal Service: COPFS) กล่าวว่า แม้ในวันที่เกิดเหตุ Nickolas Chenier จะมิได้มีเจตนาประสงค์ต่อผลให้สุนัขของเขาโจมตีและทำร้ายกวางตัวดังกล่าว แต่เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าการใช้สุนัขในการล่าสัตว์ อาจนำมาซึ่งผลลัพธ์ร้ายแรงที่ไม่คาดคิดได้

ข่าวประจำวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘
แปลและเรียบเรียงจาก https://www.bbc.com/news/articles/c5y7e0lp252o
*บทความในเว็บไซต์เป็นผลงานทางวิชาการของผู้เขียนเว็บไซต์ LawforASEAN / สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย

 

© 2017 Office of the Council of State.