กฎหมายเกี่ยวกับการห้ามสวมหน้ากากสกีในที่สาธารณะของมลรัฐฟิลาเดลเฟียในสหรัฐอเมริกา
ข่าวต่างประเทศ
01 Jan 1970
ในมลรัฐฟิลาเดลเฟียของสหรัฐอเมริกา หน้ากากสกีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องประดับที่ใส่เพื่อเป็นแฟชั่นและปกป้องใบหน้าจากความหนาวเย็นในฤดูหนาว แต่ยังช่วงป้องกันผู้สวมใส่หน้ากากสกีไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของการระบุตัวตนที่ผิดพลาด (mistaken identity) ของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกด้วย
ลีม วอชิงตัน เยาวชนผิวสี อายุ ๑๙ ปี กล่าวว่า การที่เขาเติบโตมาในฝั่งตะวันตกของมลรัฐฟิลาเดลเฟียซึ่งถือเป็นพื้นที่ ๆ เกิดอาชญากรรมมากที่สุดแห่งหนึ่ง ทำให้เขาตกอยู่ในสภาวะหวาดระแวงตลอดเวลาจากการห้ามสวมหน้ากากสกีในพื้นที่สาธารณะเพราะการใส่หน้ากากสกีถือเป็นรูปแบบหนึ่งที่ช่วยป้องกันจากการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมผิดตัวจากการระบุตัวตนที่ผิดพลาด
สภาของมลรัฐฟิลาเดลเฟียอ้างว่าเรื่องอาชญากรรมเป็นเหตุผลของการห้ามสวมหน้ากากสกีในพื้นที่สาธารณะ
เมื่อปลายปีที่แล้ว ผู้สนับสนุนความยุติธรรมจำนวนมากและคนหนุ่มสาวอย่างวอชิงตันก็ได้ร่วมคัดค้านกฎระเบียบใหม่ดังกล่าว
ในปัจจุบัน เป็นระยะเวลาเกือบสี่เดือนหลังจากมีการห้ามการสวมหน้ากากสกีในที่สาธารณะที่มีการโต้เถียงกันการห้ามดังกล่าวก็ได้ถูกออกบังคับใช้เป็นกฎหมาย
ผู้วิจารณ์กล่าวว่า “การขาดความชัดเจนเกี่ยวกับกฎระเบียบใหม่ ซึ่งกลุ่มผู้สนับสนุนมีความเห็นว่าช่วยลดเรื่องการเกิดความรุนแรง แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมมากขึ้นในการห้ามดังกล่าว”
แอนโธนี ฟิลลิปส์ สมาชิกสภาแห่งมลรัฐฟิลาเดลเฟีย กล่าวว่า “ผมจำเป็นต้องดำเนินการบางอย่างเพื่อจัดการกับสิ่งที่ผมมองว่าไร้กฎหมายควบคุม”
ร่างกฎหมายที่เสนอโดยฟิลลิปส์ได้ระบุถึงเหตุการณ์อย่างน้อย ๓ เหตุการณ์ในมลรัฐฟิลาเดลเฟียนับตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๒๑ ที่เกิดเหตุการณ์มือปืนสวมหน้ากากสกียิงและสังหารผู้คน โดยกฎหมายฉบับใหม่กำหนดว่า ประชาชนอาจถูกลงโทษปรับสูงสุดถึง ๒๕๐ ดอลลาร์หากสวมหน้ากากสกีในสถานที่ต้องห้าม และถูกลงโทษปรับ ๒,๐๐๐ ดอลลาร์หากสวมหน้ากากสกีขณะก่ออาชญากรรม
อย่างไรก็ตาม ฟิลลิปส์ ไม่สามารถให้ข้อมูลแก่สำนักข่าว NBC News เพื่อแสดงให้เห็นว่าการห้ามดังกล่าวจะช่วยลดอาชญากรรมได้อย่างไร และเขาไม่มีการสำรวจความคิดเห็นเพื่อสนับสนุนความนิยมของประชาชนในการห้ามดังกล่าวในเมือง
ข่าวประจำวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๖๗
เรียบเรียงจาก https://www.nbcnews.com/news/nbcblk/philadelphia-ski-mask-ban-rcna140006?fbclid=IwAR2KfG0udi33sC_GD8Cv10p1BnXirg46K5YN1mdGvpAVBBpSePPdZ_p6Cjo_aem_AaJRM-NxQlu3TBFlwA4_tqARLQHyKLedNdkNl7c7SRcD79tp_QBlr_J1JFvLEGUAnvijivPntRO6SckPudlETYK1
*บทความในเว็บไซต์เป็นผลงานทางวิชาการของผู้เขียนเว็บไซต์ LawforASEAN / สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย