BANNER

สหรัฐฯ ยกเว้นกฎหมายในพื้นที่ทางตอนใต้ของรัฐเท็กซัส เพื่อดำเนินการสร้างกำแพงชายแดนป้องกันผู้ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมายลักลอบเข้าประเทศ


 ข่าวต่างประเทศ      01 Nov 2023

  


                    สหรัฐฯ ประกาศนโยบายขยายโครงการก่อสร้างกำแพงชายแดนเพื่อป้องกันผู้ขอลี้ภัยที่ทะลักเข้ามากเป็นประวัติการณ์ โดยใช้อำนาจยกเว้นกฎหมายผลักดันแผนการรับผู้อพยพเข้าเป็นพลเมือง ๒๖ ฉบับในพื้นที่ทางตอนใต้ของรัฐเท็กซัสที่ออกโดยความเห็นชอบของรัฐบาล Joe Biden เพื่อดำเนินการสร้างกำแพงชายแดนป้องกันผู้ขอลี้ภัยลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงนโยบายผู้อพยพครั้งสำคัญของประธานาธิบดี Joe Biden หลังจากที่ก่อนหน้านี้เขาได้ออกมาต่อต้านนโยบายนี้ของ Donald Trump และประกาศว่าจะผลักดันแผนการรับผู้อพยพเข้าเป็นพลเมือง
                    แต่ทั้งนี้ Biden ชี้แจงว่าการกระทำดังกล่าวไม่ได้ใช้เงินของผู้เสียภาษีไปสร้างกำแพง โดยงบประมาณนั้นเป็นเงินงบประมาณที่คงเหลือจากเมื่อครั้งที่ได้รับการอนุมัติโครงการสมัยประธานาธิบดี Trump เมื่อ พ.ศ. ๒๕๖๒ และกฎหมายได้กำหนดว่าจะต้องใช้เงินจำนวนดังกล่าวในเวลานี้
                    ความเคลื่อนไหวของ Biden ในการประกาศขยายโครงการสร้างกำแพงป้องกันชายแดน เกิดขึ้นในช่วงที่ผู้ขอลี้ภัยทะลักจากเม็กซิโกเข้าสู่สหรัฐฯ มากเป็นประวัติการณ์ โดยข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่าเฉพาะบริเวณหุบเขา Rio Grande ของรัฐเท็กซัส ซึ่งเป็นแนวชายแดนของสหรัฐฯ ที่ติดกับเม็กซิโกมีความยาวกว่า ๓,๒๐๐ กิโลเมตร ณ ช่วงปีงบประมาณปัจจุบันมีคนเดินทางเข้ามายังสหรัฐฯ อย่างผิดกฎหมายแล้วประมาณ ๒๔๕,๐๐๐ คน
                    การอพยพของผู้ลี้ภัยดังกล่าวทำให้ทางการสหรัฐฯ ต้องมีมาตรการจำเป็นเร่งด่วนในการขยายโครงการก่อสร้างกำแพงชายแดนเพื่อป้องกันผู้ลี้ภัยอย่างผิดกฎหมายที่ทะลักเข้ามา โดยผู้ขอลี้ภัยส่วนใหญ่มาจากประเทศกัวเตมาลา ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์

ข่าวประจำวันที่ ๓๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๖
แปลและเรียบเรียงจาก https://edition.cnn.com/2023/10/05/politics/biden-border-wall/index.html
https://www.nytimes.com/2023/10/05/us/biden-border-wall-waiver.html
https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/207464
*บทความในเว็บไซต์เป็นผลงานทางวิชาการของผู้เขียนเว็บไซต์ LawforASEAN / สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย
 

© 2017 Office of the Council of State.