BANNER

นิวซีแลนด์ผ่านร่างกฎหมายยาสูบฉบับใหม่ห้าม “ซื้อบุหรี่”


 ข่าวต่างประเทศ      08 Feb 2023

  


        รัฐสภานิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายฉบับใหม่ที่มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดห้ามมิให้คนที่เกิดหลังปี ค.ศ. ๒๐๐๘ (พ.ศ. ๒๕๕๑) ซื้อบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบใด ๆ เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นประเทศปลอดบุหรี่
        ในวันอังคารที่ ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๖๕ รัฐสภาแห่งประเทศนิวซีแลนด์ผ่านร่างกฎหมาย Smokefree Environments and Regulated Products” โดยกำหนดว่าว่าผู้ใดก็ตามที่เกิดหลังปี ค.ศ. ๒๐๐๘ (พ.ศ. ๒๕๕๑)  จะไม่สามารถซื้อบุหรี่หรือผลิตภัณฑ์ยาสูบได้โดยกฎหมายดังกล่าวจะมีผลใช้บังคับในปี ค.ศ ๒๐๒๓ (พ.ศ. ๒๕๖๖) นี้เป็นต้นไป
        หลักการของกฎหมายนี้ย่อมหมายถึงจำนวนคนที่สามารถซื้อยาสูบได้จะลดลงในแต่ละปี ตัวอย่างเช่น ภายในปี ค.ศ. ๒๐๕๐ (พ.ศ. ๒๕๙๓) คนอายุ ๔๐ ปีก็ถือว่ามีอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะสามารถซื้อบุหรี่ได้ นอกจากนี้ กฎหมายนี้ยังจำกัดจำนวนผู้ค้าปลีกที่สามารถขายผลิตภัณฑ์ยาสูบให้เหลือเพียง ๖๐๐ รายทั่วประเทศ จากเดิม ๖,๐๐๐ ราย และลดระดับนิโคตินในผลิตภัณฑ์ยาสูบลงเพื่อให้เกิดอาการเสพติดน้อยลง
        ดร. Ayesha Verrall รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขซึ่งเป็นผู้เสนอร่างกฎหมายดังกล่าวได้กล่าวว่า การผ่านร่างกฎหมายดังกล่าวถือเป็นก้าวสำคัญที่จะนำไปสู่เป้าหมายการปลอดบุหรี่ในอนาคต โดยผู้คนหลายพันคนจะมีอายุยืนยาวขึ้น สุขภาพดีขึ้น และหน่วยงานด้านสาธารณสุขจะมีงบประมาณเพิ่มขึ้นอีก ๕ พันล้านดอลลาร์เพราะไม่จำเป็นต้องนำไปใช้รักษาอาการป่วยที่เกิดขึ้นจากการสูบบุหรี่อีก
        ปัจจุบัน อัตราการสูบบุหรี่ของชาวนิวซีแลนด์อยู่ในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ โดยผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำทุกวันมีเพียงร้อยละ ๘ ซึ่งลดลงจากร้อยละ ๙.๔ ในปีที่แล้วและมีการคาดการณ์ว่าร่างกฎหมายยาสูบฉบับใหม่จะทำให้จำนวนผู้สูบบุหรี่ลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ ๕ ภายในปี ค.ศ. ๒๐๒๕ (พ.ศ. ๒๕๖๘)
        อย่างไรก็ตาม กฎหมายดังกล่าวมิได้ครอบคลุมไปถึงการห้ามซื้อผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่นในประเทศนิวซีแลนด์มากกว่าบุหรี่ปกติ ในขณะเดียวกัน กลุ่มการเมืองบางกลุ่มรวมถึงพรรคฝ่ายค้าน ACT ได้วิพากษ์วิจารณ์ร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยเตือนว่าอาจก่อให้เกิดการซื้อขายบุหรี่ในตลาดมืดมากขึ้นและจะทำลายธุรกิจหรือร้านค้าปลีกขนาดเล็กได้

ข่าวประจำวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
แปลและเรียบเรียงจาก https://www.bbc.com/news/world-asia-63954862
*บทความในเว็บไซต์เป็นผลงานทางวิชาการของผู้เขียนเว็บไซต์ LawforASEAN / สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย

© 2017 Office of the Council of State.