อินโดนีเซียเสนอในที่ประชุมเอเปคให้ริเริ่มความตกลงการเปิดเสรีเศรษฐกิจฉบับใหม่แทนความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP)
ข่าวต่างประเทศ
30 Nov 2016
ในการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Summit) ที่ผ่านมา อินโดนีเซียได้เสนอต่อที่ประชุมให้ริเริ่มการเจรจาเปิดเสรีทางเศรษฐกิจใหม่เพื่อค้านอำนาจของสหรัฐอเมริกาและจีน
โดยสมาชิกของเอเปคที่เป็นสมาชิกของความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ TPP ประกอบด้วย ออสเตรเลีย บรูไน แคนาดา ชิลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย เม็กซิโก นิวซีแลนด์ เปรู สิงคโปร์ และเวียดนาม อย่างไรก็ตาม จากผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาที่ผ่านมาทำให้ความตกลงTPP ต้องประสบกับความชะงักงัน เนื่องจากผู้ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐคือนาย Donald Trump ซึ่งในขณะหาเสียงนั้นได้ประกาศว่าตนจะยกเลิกความตกลงTPP และระงับการเจรจาการเปิดเสรีทางเศรษฐกิจทั้งหมดพร้อมกับทบทวนความตกลงทางเศรษฐกิจที่สหรัฐอเมริกามีอยู่ หากได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ในขณะเดียวประเทศจีนซึ่งเข้าร่วมในการประชุมเอเปคด้วยเช่นกัน ได้สนับสนุนความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเจรจารอบที่ ๑๖ หาก TPP ถูกยกเลิก RCEP จะเป็นความตกลงทางเศรษฐกิจเดียวที่เหลืออยู่เท่านั้น
รองประธานาธิบดีประเทศอินโดนีเซียนาย Jusuf Kalla จึงได้เสนอให้ริเริ่มการเจรจาความตกลงเปิดเสรีทางเศรษฐกิจใหม่ซึ่งรวมประเทศแปซิฟิกและประเทศเอเชียเข้าด้วยกันโดยได้กล่าวว่า “หาก TPP ถูกยกเลิกประเทศสมาชิกอาเซียนและแปซิฟิกควรจัดทำความร่วมมือทางการค้าขึ้นใหม่ ซี่งความร่วมมือดังกล่าวอาจจะดีกว่า TPP เนื่องจาก การเสนอในเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมอย่างยิ่ง”
นาย Jusuf กล่าวต่อไปอีกว่าประเทศสมาชิกเอเปคหลายประเทศคาดการณ์และเตรียมพร้อมในกรณีที่ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาจะยกเลิกหรือถอนตัวจากความตกลง TPP ตามที่ได้หาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้ง
ในขณะเดียวกัน ประธานาธิบดีจีนได้ให้คำมั่นว่าจีนจะเปิดเสรีทางเศรษฐกิจมากขึ้นโดยกล่าวสุนทรพจน์ว่า “จีนจะไม่ปิดประตูต่อโลกภายแต่จะเปิดประตูมากขึ้นอีกด้วย” และยังกล่าวถึงแนวทางของจีนต่อไปว่า “จีนจะทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าการพัฒนาจะถูกแบ่งปันร่วมกัน” ทั้งนี้ท่าทีดังกล่าวเป็นผลสืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐที่ผู้ชนะหาเสียงว่าจะยกเลิกความตกลง TPP โดยมีประเทศทางฝั่งแปซิฟิกเช่น เม็กซิโก แคนาดา ซิลี เป็นสมาชิก อันเป็นการแสดงท่าทีให้เห็นว่าจีนพร้อมที่จะเป็นผู้นำและเจรจาทางเศรษฐกิจต่อไป